ค่าทำขวัญ ค่าเสียเวลาจากอุบัติเหตุรถชน: ประกันรถยนต์ของคุณคุ้มครองส่วนนี้อย่างไรบ้าง?
by admin

เจ้าหน้าที่ประกันภัยกำลังตรวจสอบสภาพรถยนต์หลังเกิดอุบัติเหตุเพื่อประเมินค่าเสียหาย
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันบนท้องถนน หลายคนอาจยังสงสัยว่า หากเราเป็นฝ่ายก่ออุบัติเหตุ แล้วคู่กรณีเรียกร้องค่าเสียหายต่างๆ นอกเหนือจากค่าซ่อมรถหรือค่ารักษาพยาบาล เช่น ค่าทำขวัญ หรือ ค่าเสียเวลา ในกรณี รถชน ประกันภัยรถยนต์ที่ทำไว้จะให้ความคุ้มครองสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้หรือไม่ และควรจัดการอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงขอบเขตความคุ้มครองของ ประกันรถยนต์ ที่เกี่ยวข้องกับค่าเสียหายเหล่านี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“ค่าทำขวัญ” คืออะไรในมุมกฎหมาย และประกันจ่ายหรือไม่?
ประเด็นเรื่อง “ค่าทำขวัญ” มักสร้างความสับสนอยู่เสมอ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าในทางกฎหมายแล้ว ไม่มีการกำหนดคำนิยามหรืออัตราที่ชัดเจนสำหรับสิ่งที่เรียกว่า “ค่าทำขวัญ” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำที่ใช้เรียกติดปากเพื่อสื่อถึงค่าเสียหายทางจิตใจ หรือการเยียวยาความรู้สึกจากการประสบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ แม้ว่าคุณจะเป็น [ฝ่ายผิด](ลิงก์ภายใน 1) ในอุบัติเหตุ แต่การจ่ายค่าทำขวัญโดยตรงตามที่คู่กรณีเรียกร้องมานั้น ไม่ใช่สิ่งที่ประกันภัยรถยนต์จะจ่ายให้เป็นรายการเฉพาะ
บริษัทประกันภัยจะพิจารณาจ่าย ค่าสินไหมทดแทน ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและสามารถพิสูจน์ได้ตามเงื่อนไขใน กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ซึ่งโดยทั่วไปจะครอบคลุมค่าเสียหายหลักๆ ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน ค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นอันเป็นผลโดยตรงจากอุบัติเหตุ ดังนั้น หากคู่กรณีเรียกร้องค่าทำขวัญ บริษัทประกันมักจะรวมค่าเสียหายส่วนนี้ (ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นค่าชดเชยความเสียหายทางจิตใจ) เข้าไปในการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อประเมินเป็นค่าเสียหายรวมที่ต้องชดเชยตามจริงภายใต้ความคุ้มครองของกรมธรรม์ โดยไม่ได้แยกเป็นหัวข้อ “ค่าทำขวัญ” โดยเฉพาะเจาะจง สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อเกิดเหตุและมีการเรียกร้องค่าเสียหาย ควรแจ้งบริษัทประกันภัยของคุณทันที และรอให้เจ้าหน้าที่ประกันเป็นผู้ดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยกับคู่กรณี เพื่อให้การจัดการเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องและเหมาะสม
ค่าเสียหายประเภทใดบ้างที่ “ฝ่ายถูก” มีสิทธิ์เรียกร้อง?
นอกเหนือจากความเข้าใจเรื่อง “ค่าทำขวัญ” แล้ว การทราบว่าค่าเสียหายประเภทใดบ้างที่คู่กรณีซึ่งเป็นฝ่ายถูกสามารถเรียกร้องจากฝ่ายที่ผิดได้นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งโดยทั่วไปประกันภัยรถยนต์จะให้ความคุ้มครองในส่วนนี้ตามวงเงินที่ระบุในกรมธรรม์ ค่าเสียหายหลักๆ ที่สามารถเรียกร้องได้มีดังนี้:
1. ค่าเสียหายของรถยนต์อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ
นี่เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตรงกับยานพาหนะของคู่กรณี ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายเล็กน้อยหรือร้ายแรง บริษัทประกันภัยของคุณจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถยนต์ของฝ่ายถูกตามจริง [ค่าเสียหายรถยนต์](ลิงก์ภายใน 2) ส่วนนี้รวมถึงค่าอะไหล่ ค่าแรง และค่าเสื่อมราคาตามหลักเกณฑ์ของประกัน การประเมินความเสียหายและดำเนินการซ่อมควรเป็นไปตามขั้นตอนของบริษัทประกันภัย
เจ้าหน้าที่ประกันภัยกำลังตรวจสอบสภาพรถยนต์หลังเกิดอุบัติเหตุเพื่อประเมินค่าเสียหาย
2. ค่ารักษาพยาบาลและการบาดเจ็บ
หากคู่กรณีได้รับบาดเจ็บทางร่างกายจากอุบัติเหตุ ประกันรถยนต์ จะให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริง โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ต่างๆ เช่น ค่าหมอ ค่ายา ค่าโรงพยาบาล และค่ากายภาพบำบัด ความคุ้มครองส่วนนี้มักจะพิจารณาร่วมกับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) ซึ่งเป็นประกันภัยภาคบังคับ และหากค่าใช้จ่ายเกินกว่าวงเงินคุ้มครองของ พ.ร.บ. ประกันภัยภาคสมัครใจที่คุณทำไว้ก็จะเข้ามามีบทบาทในการชดเชยส่วนที่เกิน
3. ค่าเสียหายต่อทรัพย์สินภายในรถ
อุบัติเหตุอาจไม่เพียงทำให้รถยนต์เสียหาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินส่วนตัวที่อยู่ภายในรถของคู่กรณีด้วย เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กระเป๋าเดินทาง หรือทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ หากทรัพย์สินเหล่านี้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากอุบัติเหตุ คู่กรณีสามารถเรียกร้องค่าเสียหายส่วนนี้ได้ อย่างไรก็ตาม การชดเชยค่าเสียหายจะพิจารณาตามสภาพความเสื่อมของทรัพย์สิน และจำเป็นต้องสามารถพิสูจน์ความเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นๆ ได้
4. ค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจริงตามสถานการณ์
นอกจากค่าเสียหายที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจริงอันเป็นผลโดยตรงจากอุบัติเหตุที่คู่กรณีสามารถเรียกร้องได้ ซึ่งประกันภัยรถยนต์อาจให้ความคุ้มครองในส่วนนี้ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ เช่น:
- ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ: หากรถยนต์ของคู่กรณีต้องเข้าซ่อมเป็นเวลานาน ทำให้เขาไม่สามารถใช้รถเพื่อเดินทางในชีวิตประจำวันหรือทำงานได้ คู่กรณีสามารถเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับค่าขาดประโยชน์ส่วนนี้ได้ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดอัตราขั้นต่ำในการชดเชยไว้ โดยแตกต่างกันไปตามประเภทของรถยนต์
- ค่ารถลาก/ค่าขนย้ายรถ: กรณีที่รถยนต์ของคู่กรณีได้รับความเสียหายจนไม่สามารถขับเคลื่อนเองได้ และจำเป็นต้องใช้บริการรถลากหรือรถยกเพื่อนำรถไปที่อู่ซ่อม ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ถือเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและสามารถเรียกร้องได้