ไขข้อสงสัย: กลุ่มรถยนต์ประกันภัย คืออะไร? ส่งผลต่อเบี้ยแค่ไหน?
by admin

ผู้ขับขี่หลายท่านอาจสงสัยว่า ทำไมเบี้ยประกันรถยนต์ของรถแต่ละคันถึงไม่เท่ากัน ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) นำมาใช้กำหนดเบี้ยมาตรฐานคือ “กลุ่มรถยนต์ในการทำประกันภัย” ซึ่งเป็นการแบ่งประเภทรถตามเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้การคำนวณเบี้ยประกันมีความเป็นธรรมมากขึ้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ [กลุ่มรถยนต์] ในการพิจารณาเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์จึงเป็นเรื่องสำคัญ มาดูกันว่าการแบ่งกลุ่มนี้มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
ทำความเข้าใจ “กลุ่มรถยนต์” ในงานประกันภัย
กลุ่มรถยนต์สำหรับวัตถุประสงค์ประกันภัยนั้น ไม่ใช่แค่การจัดหมวดหมู่ธรรมดา แต่คือเกณฑ์มาตรฐานที่ คปภ. กำหนดขึ้น โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญหลายด้าน เช่น มูลค่ารถ ขนาดเครื่องยนต์ ค่าอะไหล่ และต้นทุนในการซ่อมแซม การแบ่งกลุ่มนี้ช่วยให้บริษัทประกันสามารถประเมินความเสี่ยงและกำหนดอัตราเบี้ยประกันได้อย่างสมเหตุสมผล ทำให้รถที่มีความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงกว่า มีเบี้ยประกันสูงกว่า ซึ่งเป็นหลักการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้เอาประกันโดยรวม
ภาพกราฟิกอธิบายการแบ่งกลุ่มรถยนต์สำหรับประกันภัยรถยนต์ โดยพิจารณาจากราคารถ ค่าซ่อม และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อเบี้ยประกัน
การแบ่งกลุ่มรถยนต์ประกันภัย มีกี่กลุ่ม?
ตามเกณฑ์ของ คปภ. ได้จำแนกกลุ่มรถยนต์สำหรับการคำนวณเบี้ยประกันภาคสมัครใจออกเป็น 5 กลุ่มหลักๆ เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาความเสี่ยงและต้นทุน แม้ว่าการแบ่งกลุ่มจะเป็นปัจจัยพื้นฐาน แต่ต้องไม่ลืมว่ายังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่มีอิทธิพลต่อการคำนวณเบี้ยประกันภัยรถยนต์ของคุณ โดยทั้ง 5 กลุ่มมีลักษณะและตัวอย่างรถยนต์ดังนี้
กลุ่มที่ 1: ยนตรกรรมระดับซูเปอร์ลักชัวรี
รถยนต์ในกลุ่มนี้คือกลุ่มที่มีมูลค่าสูงสุด มีราคตั้งแต่ 5,000,000 บาทขึ้นไป ส่วนใหญ่มักเป็นรถสปอร์ตหรู หรือรถยนต์พรีเมียมสั่งพิเศษ เนื่องจากมูลค่าตัวรถสูงมาก อีกทั้งอะไหล่และชิ้นส่วนมักมีราคาสูงและต้องสั่งนำเข้า ทำให้ความเสี่ยงในการเคลมแต่ละครั้งสูงตามไปด้วย บริษัทประกันจึงต้องคิดเบี้ยประกันในอัตราที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- Aston Martin (Vantage, DB12)
- Bentley (Continental GT, Bentayga)
- Ferrari (296GTB, F8 Spider)
- Jaguar (F-TYPE, XJ)
- Maserati (Grecale, Levante)
- Porsche (Cayenne, Taycan, Panamera)
- Rolls-Royce (Cullinan, Ghost, Phantom)
กลุ่มที่ 2: รถยนต์หรูระดับเริ่มต้นถึงกลาง
กลุ่มนี้รวมรถยนต์ที่มีราคาอยู่ในช่วง 1,500,000 ถึง 5,000,000 บาท ถือเป็นรถยนต์หรูระดับ Entry-Level ไปจนถึง Mid-Size รถยนต์ในกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่ม [รถยนต์หรู] ที่หลายคนใฝ่ฝัน แม้ราคาจะไม่สูงเท่ากลุ่มแรก แต่หลายรุ่นยังคงมีอะไหล่หรือชิ้นส่วนที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนการซ่อมบำรุงค่อนข้างสูง ส่งผลให้เบี้ยประกันภัยสูงกว่ารถยนต์กลุ่ม Mass ทั่วไป
- Audi (A1, Q2, Q3, A5)
- BMW (Series 3, 5)
- Lexus (IS, NX, RX)
- Mercedes-Benz (C-Class, E-Class)
- Honda (Civic Type R)
กลุ่มที่ 3-5: รถยนต์ที่ได้รับความนิยมทั่วไป (Mass Market)
สำหรับรถยนต์กลุ่มที่ 3 ถึง 5 นี้ เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดบนท้องถนน และมักมีอัตราเบี้ยประกันที่เข้าถึงง่ายกว่ากลุ่ม 1 และ 2 อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเป็นรถรุ่นยอดนิยม หาอะไหล่ได้ง่าย มีศูนย์บริการและ[อู่ซ่อมรองรับจำนวนมาก]ทั่วประเทศ ทำให้ต้นทุนในการซ่อมแซมต่ำกว่า โดยแบ่งย่อยตามราคาดังนี้
- กลุ่มที่ 3: ราคารถยนต์อยู่ระหว่าง 1,000,000 – 1,500,000 บาท
- Honda (Accord, Civic, CRV)
- Isuzu (Mu-X, V-Cross)
- Mazda (CX-5, 3)
- Nissan (Terra)
- Toyota (Camry, CH-R)
- กลุ่มที่ 4: ราคารถยนต์อยู่ระหว่าง 700,000 – 1,000,000 บาท
- Toyota (Altis, Cross)
- Honda (BR-V, WR-V)
- กลุ่มที่ 5: ราคารถยนต์ไม่เกิน 700,000 บาท
- Honda (City)
- Mazda (2)
- Nissan (Almera)
- Toyota (Yaris)
ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อเบี้ยประกันภัยรถยนต์
แม้กลุ่มรถยนต์จะเป็นเกณฑ์สำคัญ แต่เบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่คุณต้องจ่ายจริงนั้นถูกคำนวณจากปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายร่วมด้วย เพื่อให้สะท้อนความเสี่ยงของผู้ขับขี่แต่ละรายได้อย่างแม่นยำ ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่:
- อายุและประวัติการขับขี่ของผู้เอาประกัน (ยิ่งอายุน้อย หรือประวัติไม่ดี เบี้ยยิ่งสูง)
- ประวัติการเคลม (หากไม่เคยเคลม อาจได้รับส่วนลดประวัติดี)
- ค่าเสียหายส่วนแรก (ยิ่งเลือกจ่ายเองสูง เบี้ยยิ่งถูกลง)
- ประเภทความคุ้มครองที่เลือก (เช่น ประกันชั้น 1 ย่อมแพงกว่าชั้น 3)
- ทุนประกันภัย (วงเงินความคุ้มครองสูงสุด)
- การติดตั้งอุปกรณ์เสริมหรือระบบป้องกันการโจรกรรม
- บริษัทประกันภัยและแผนประกันที่เลือก
การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถหา [วิธีประหยัดเบี้ยประกัน] ได้อย่างชาญฉลาด
รถเล็กกลุ่ม 5 ปลอดภัยกว่ารถกลางกลุ่ม 4 จริงหรือ?
ประเด็นเรื่องความปลอดภัยของรถยนต์มักเป็นที่ถกเถียงกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะระหว่างรถยนต์ขนาดเล็ก (เช่น กลุ่ม 5) กับรถยนต์ขนาดกลาง (เช่น กลุ่ม 4) หลายคนอาจคิดว่ารถเล็กควบคุมง่ายกว่าในเมือง หรือมีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ทันสมัยกว่า แต่ในมุมของประกันภัยและการใช้งานจริง มีข้อควรพิจารณาดังนี้
กลุ่มที่ 4: ความคุ้มค่าสำหรับรถขนาดกลาง
รถยนต์ในกลุ่ม 4 มักเป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางที่ได้รับความนิยม มีราคาไม่สูงมาก และเบี้ยประกันภัยอยู่ในเกณฑ์ที่เข้าถึงได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการรถที่ให้ความคล่องตัวในการเดินทาง แต่ยังมีขนาดที่ใหญ่กว่าอีโคคาร์ และอาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ขับขี่มือใหม่ หรือผู้ที่มีงบประมาณจำกัดในการซื้อรถและจ่ายเบี้ยประกัน
กลุ่มที่ 5: ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับอีโคคาร์และรถเล็ก
กลุ่มที่ 5 ส่วนใหญ่คือรถยนต์[อีโคคาร์] หรือรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ที่เน้นความประหยัดและราคาเข้าถึงง่าย เบี้ยประกันภัยจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่ถูกที่สุด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ขับขี่ในเมืองที่ต้องการความคล่องตัวสูง ประหยัดน้ำมัน และมีงบประมาณจำกัด ผู้ขับขี่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือผู้ที่ต้องการเบี้ยประกันในอัตราต่ำสุด มักเลือกรถยนต์ในกลุ่มนี้
สรุปแล้ว เรื่องความปลอดภัยของรถยนต์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดหรือกลุ่มรถยนต์เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ สติ ความระมัดระวัง และทักษะในการขับขี่ของผู้ที่อยู่หลังพวงมาลัย รวมถึงสภาพรถและสภาพถนน การเลือกรถที่เหมาะกับการใช้งานและทักษะการขับขี่ของตนเอง ควบคู่ไปกับการเลือกแผนประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมความเสี่ยงที่คุณกังวล ย่อมเป็นแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยและความอุ่นใจตลอดการเดินทาง
การทำความเข้าใจว่า “กลุ่มรถยนต์” ที่ คปภ. กำหนดมีผลต่อเบี้ยประกันอย่างไร รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมและสามารถวางแผนการเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของรถยนต์กลุ่มใดก็ตาม การได้รับความคุ้มครองที่ตรงใจและคุ้มค่าคือสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความมั่นใจไร้กังวล หากคุณกำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ พร้อมเบี้ยประกันที่สมเหตุสมผล อย่าลังเลที่จะ [เปรียบเทียบประกันรถยนต์] และ [เช็คเบี้ยประกันรถยนต์] ออนไลน์ เพื่อค้นหาแผนที่ดีที่สุดสำหรับรถของคุณ
คำอธิบายศัพท์ที่เกี่ยวข้อง
- คปภ.: ย่อมาจาก “สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย” หน่วยงานภาครัฐ ทำหน้าที่กำกับและส่งเสริมอุตสาหกรรมประกันภัยในประเทศไทย
- อีโคคาร์ (Eco Car): รถยนต์ขนาดเล็กที่ออกแบบตามมาตรฐานเพื่อประหยัดพลังงานและลดมลพิษ มักมีเครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 1,300-1,400 ซีซี
- ฟีเจอร์ (Feature): คุณสมบัติเด่น หรือลักษณะพิเศษต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวรถหรือผลิตภัณฑ์ ซึ่งเพิ่มความสามารถหรือประโยชน์ในการใช้งาน
ติดกล้องหน้ารถยนต์ ลดเบี้ยประกันภัยได้จริง พร้อมส่วนลดจาก คปภ.
Next Postเจาะลึกราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า EV: ค่าใช้จ่ายที่คุณควรรู้ พร้อมประกันคุ้มครอง

Leave a Reply
Your email address will not be published. Required fields are marked *
Comment *