เปิดโลกประกันรถยนต์: คำศัพท์สำคัญที่ต้องรู้ก่อน ซื้อประกันรถยนต์ และ เคลมประกัน
by admin

สำหรับเจ้าของรถยนต์หลายท่าน การจัดการเรื่องประกันภัยรถยนต์อาจดูซับซ้อนและเต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะทางที่เข้าใจยาก ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่มั่นใจในการเลือกซื้อ หรือแม้แต่เมื่อต้องยื่น เคลมประกันรถยนต์ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ การมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคำศัพท์ประกันภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงช่วยให้คุณเลือกแผน ประกันรถยนต์ ที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ แต่ยังช่วยให้คุณเข้าใจสิทธิ์และความคุ้มครองของตนเองได้อย่างแท้จริง ทำให้การ ซื้อประกันรถยนต์ หรือ เปรียบเทียบประกันรถยนต์ ไม่ใช่เรื่องน่าปวดหัวอีกต่อไป
การทำความคุ้นเคยกับคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณสื่อสารกับบริษัทประกันได้อย่างราบรื่น ได้รับการดูแลตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างครบถ้วน และไม่พลาดประโยชน์ใดๆ ที่ควรได้รับ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันบนท้องถนน การรู้ความหมายที่ถูกต้องของคำศัพท์ต่างๆ จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพประกอบคำศัพท์ประกันภัยรถยนต์ที่สำคัญ คู่มือสำหรับผู้ต้องการ ซื้อประกันรถยนต์ และทำความเข้าใจกรมธรรม์
คำศัพท์ประกันภัยรถยนต์พื้นฐานที่เจ้าของรถควรรู้
เพื่อให้การดูแลรักษารถยนต์และการจัดการเรื่องประกันภัยเป็นไปอย่างราบรื่น นี่คือคำศัพท์สำคัญที่คุณควรทำความเข้าใจ:
กรมธรรม์ (Policy)
กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คือเอกสารสัญญาที่ระบุข้อตกลง เงื่อนไข ความคุ้มครอง และข้อยกเว้นต่างๆ ระหว่างผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัย ในกรมธรรม์จะระบุรายละเอียดสำคัญ เช่น ชื่อผู้เอาประกัน ชื่อผู้รับผลประโยชน์ (ถ้ามี) รุ่นรถ ข้อมูลทะเบียนรถ ประเภทความคุ้มครอง ระยะเวลาเอาประกันภัย จำนวนเงินเอาประกัน (ทุนประกัน) และเบี้ยประกันภัย การอ่านและทำความเข้าใจกรมธรรม์อย่างละเอียดจะช่วยให้คุณทราบขอบเขตความคุ้มครองและเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ผู้เอาประกัน, ผู้รับประกัน, ผู้รับผลประโยชน์
- ผู้เอาประกัน (Insured): หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นคู่สัญญากับบริษัทประกันภัย ซึ่งก็คือเจ้าของรถยนต์ผู้ที่ทำประกันภัยนั่นเอง
- ผู้รับประกัน (Insurer): หมายถึง บริษัทประกันภัยที่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขกรมธรรม์
- ผู้รับผลประโยชน์ (Beneficiary): หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลที่ได้รับประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ อาจเป็นตัวผู้เอาประกันเอง หรือบุคคลอื่น เช่น กรณีรถยนต์ที่ยังติดไฟแนนซ์ บริษัทไฟแนนซ์มักจะเป็นผู้รับผลประโยชน์
ทุนประกัน (Sum Insured)
ทุนประกันคือจำนวนเงินสูงสุดที่บริษัทประกันภัยจะจ่ายให้ในการซ่อมแซมหรือชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยในแต่ละครั้ง หรือในกรณีที่รถยนต์เสียหายสิ้นเชิง ทุนประกันจะถูกกำหนดตามมูลค่ารถยนต์ ณ วันที่ทำประกันภัย การเลือกทุนประกันที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าความคุ้มครองเพียงพอต่อมูลค่ารถของคุณ
ค่าสินไหมทดแทน (Claim Amount)
ค่าสินไหมทดแทน คือจำนวนเงินที่บริษัทประกันภัยจ่ายให้กับผู้เอาประกันภัยหรือผู้เสียหายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ ค่าสินไหมทดแทนนี้จะไม่เกินจำนวน ทุนประกัน ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ การขอรับค่าสินไหมทดแทนคือกระบวนการ “เคลม” นั่นเอง
ภาพประกอบแสดงขั้นตอนการขอรับค่าสินไหมทดแทนจากการ เคลมประกันรถยนต์
ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และ ภาคสมัครใจ
- ประกันรถยนต์ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. รถยนต์: เป็นประกันภัยที่กฎหมายบังคับให้รถยนต์ทุกคันต้องทำ เพื่อคุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และอนามัยของบุคคลที่ประสบภัยจากรถ โดยไม่คำนึงถึงว่าฝ่ายใดเป็นผู้กระทำผิด พ.ร.บ. มีวงเงินความคุ้มครองที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย
- ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ: เป็นประกันภัยที่เจ้าของรถทำเพิ่มเติมนอกเหนือจาก พ.ร.บ. เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ (รถเราเอง) ความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก การโจรกรรม ไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติ ซึ่งมีหลายประเภท เช่น ประกันชั้น 1, ชั้น 2+, ชั้น 3+, ชั้น 3 โดยความคุ้มครองและเบี้ยประกันจะแตกต่างกันไป
ค่าเสียหายส่วนแรก: Excess และ Deductible
- ค่าเสียหายส่วนแรกภาคบังคับ (Excess): เป็นจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายเองเมื่อเกิดความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันภัยในกรณีที่ไม่มีคู่กรณี หรือไม่สามารถระบุคู่กรณีได้ เช่น ชนเสา ขูดกำแพง หินกระเด็นใส่ โดยทั่วไปมีอัตราตามที่ คปภ. กำหนดประมาณ 1,000 บาทต่อเหตุการณ์ แต่บางกรมธรรม์อาจสูงกว่านี้
- ค่าเสียหายส่วนแรกภาคสมัครใจ (Deductible): เป็นจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยตกลงยินยอมจ่ายเองในแต่ละครั้งที่เกิดความเสียหาย เพื่อแลกกับเบี้ยประกันที่ถูกลง Deductible จะใช้กับความเสียหายที่ระบุไว้ในข้อตกลงเพิ่มเติม เช่น จ่าย Deductible 5,000 บาท หากเป็นการชนแบบมีคู่กรณี โดยผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด
ทางเลือกการซ่อม: ซ่อมห้าง หรือ ซ่อมอู่
เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหายและต้องนำเข้าซ่อมแซม บริษัทประกันมักมีทางเลือกการซ่อมหลักๆ สองแบบ:
- ซ่อมห้าง: การนำรถเข้าซ่อมที่ศูนย์บริการของยี่ห้อรถนั้นๆ โดยตรง มักใช้อะไหล่แท้ มีมาตรฐานการซ่อมสูง เหมาะสำหรับรถใหม่ หรือรถที่ยังอยู่ในระยะเวลารับประกัน เบี้ยประกันภัยสำหรับการซ่อมห้างมักจะสูงกว่า
- ซ่อมอู่: การนำรถเข้าซ่อมที่อู่พันธมิตรของบริษัทประกันภัย อู่เหล่านี้ได้รับการรับรองมาตรฐานจากบริษัทประกัน การซ่อมแบบซ่อมห้างและซ่อมอู่ มีข้อดีคือเบี้ยประกันถูกกว่า แต่อาจต้องตรวจสอบคุณภาพและระยะเวลาการซ่อมของอู่แต่ละแห่ง
