[ครบชุด] XU11295 Facebook (5)

HAVAL JOLION ไฮบริด: นิยามใหม่แห่ง SUV อัจฉริยะ คุ้มค่าในยุค 2025

ในโลกยานยนต์ปี 2025 ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมใหม่ ๆ การเลือกรถยนต์สักคันนั้นซับซ้อนกว่าที่เคยเป็นมา ผู้บริโภคไม่ได้มองหาแค่พาหนะที่พาไปถึงจุดหมาย แต่ยังต้องการรถที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ ความล้ำสมัย และที่สำคัญที่สุดคือ “ความคุ้มค่า” ที่จับต้องได้ ซึ่ง GWM (Great Wall Motor) แบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนที่เข้ามาบุกเบิกตลาดในไทยได้อย่างน่าทึ่ง ได้นำเสนอทางเลือกที่ตอบโจทย์ความท้าทายนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่ ORA Good Cat ที่สร้างกระแสรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นที่รู้จัก ไปจนถึงตระกูล HAVAL ที่โดดเด่นในเซกเมนต์ SUV โดยเฉพาะ HAVAL JOLION ไฮบริด ที่ผมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ที่คร่ำหวอดในวงการมากว่า 10 ปี ขอยืนยันว่านี่คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดสำหรับปีนี้ ด้วยการผสานเทคโนโลยีอันชาญฉลาด สมรรถนะที่เหนือความคาดหมาย และออปชั่นที่อัดแน่นเกินราคา ทำให้ HAVAL JOLION ไฮบริด ไม่ได้เป็นเพียงรถ SUV ทั่วไป แต่คือนิยามใหม่ของความคุ้มค่าที่พร้อมพาคุณก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งการเดินทางในยุคดิจิทัล

เมื่อพิจารณาถึงตลาด SUV ไฮบริดในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทั้งจากแบรนด์ยุโรป ญี่ปุ่น และจีนด้วยกันเอง HAVAL JOLION ไฮบริด กลับโดดเด่นขึ้นมาด้วยจุดเด่นที่ยากจะมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่สะดุดตา ภายในที่ล้ำยุค ระบบขับเคลื่อนที่ทรงพลังแต่ประหยัดน้ำมัน ไปจนถึงระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) ที่เทียบเท่ารถยุโรปราคาแพง ผมจะพาเจาะลึกทุกแง่มุมว่าทำไม HAVAL JOLION ไฮบริด ถึงเป็น “รถยนต์อัจฉริยะ” ที่พร้อมตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริงในราคาที่ใครก็เข้าถึงได้

มิติใหม่แห่งการออกแบบ: ความลงตัวของความสปอร์ตและความล้ำสมัย

สัมผัสแรกที่ได้เห็น HAVAL JOLION ไฮบริด คือความประทับใจในรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยและโฉบเฉี่ยว เส้นสายที่พริ้วไหวแต่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งของรถยนต์ SUV กระจังหน้า Star Matrix ที่เป็นเอกลักษณ์ของ HAVAL ยังคงความโดดเด่นและสร้างมิติให้ด้านหน้าดูมีพลัง ไฟหน้า Intelligent LED ที่มาพร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และระบบ Welcome Light/Follow Me Home ไม่ได้เป็นเพียงแค่ไฟส่องสว่าง แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์ที่ผสมผสานเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว ไฟหน้าแบบ Triple Projector ที่ให้แสงสว่างคมชัดครอบคลุมทุกเส้นทาง ทั้งไฟต่ำและไฟสูง พร้อม Daytime Running Light แบบ LED ตัวกล้องหน้าและเซ็นเซอร์ด้านหน้า 6 จุด ถูกจัดวางอย่างแนบเนียน เพื่อรองรับการทำงานของระบบความปลอดภัยและการช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง

ด้านข้างของตัวรถยังคงความพรีเมียมด้วยกระจกมองข้างที่ปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัว ระบบ Blind Spot Monitoring (BSM) และกล้องมองข้างที่ทำงานร่วมกับระบบกล้อง 360 องศา ส่วนหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ คือฟีเจอร์ที่สร้างความรู้สึกโปร่งโล่งและหรูหราอย่างเหนือระดับ สามารถสั่งการเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า หรือแม้แต่สั่งการด้วยเสียง “สวัสดีฮาวาล เปิดซันรูฟ” ซึ่งเป็นกิมมิกที่เพิ่มความสะดวกสบายและความล้ำสมัยในการใช้งานจริง ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลายทูโทน (สำหรับรุ่น Ultra) หรือสีดำเข้ม (สำหรับรุ่น Sport) ขนาด 225/55 R18 ยิ่งช่วยเสริมบุคลิกสปอร์ตให้ HAVAL JOLION ไฮบริด ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ให้ความมั่นใจในทุกการหยุดรถ

ด้านท้ายรถมาพร้อมไฟท้าย LED เต็มระบบ และไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED ที่ดีไซน์เข้ากับชุดดิฟฟิวเซอร์สไตล์สปอร์ตอย่างลงตัว กล้องหลังและเซ็นเซอร์หลัง 6 จุด ทำงานร่วมกันเพื่อความปลอดภัยในการจอดและถอยรถ การออกแบบภายนอกโดยรวมของ HAVAL JOLION ไฮบริด สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัย ความสปอร์ต และฟังก์ชันการใช้งานอย่างชาญฉลาด ที่พร้อมดึงดูดทุกสายตาบนท้องถนนปี 2025

ภายในห้องโดยสาร: สู่โลกแห่งอนาคตที่กว้างขวางและสะดวกสบาย

ก้าวเข้าสู่ภายในของ HAVAL JOLION ไฮบริด คุณจะพบกับแนวคิดการออกแบบ “Futuristic” อย่างแท้จริง ภายในโทนสีดำ-เทา ให้ความรู้สึกกว้างขวาง ทันสมัย และพรีเมียม แดชบอร์ดถูกออกแบบให้มีเส้นสายที่เรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความล้ำสมัย การจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ดูสะอาดตา ลดปุ่มกดให้น้อยที่สุด เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทุกฟังก์ชันผ่านหน้าจอสัมผัสกลางขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ให้ความสบายและการรองรับสรีระที่ดีเยี่ยมสำหรับการเดินทางไกล ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับได้ 4 ทิศทางด้วยระบบแมนนวล วัสดุหุ้มเบาะให้สัมผัสที่นุ่มนวลและดูหรูหรา

พวงมาลัยไฟฟ้าแบบมัลติฟังก์ชันหุ้มด้วยหนัง ให้ความกระชับมือและสามารถปรับน้ำหนักได้ถึง 3 ระดับ (Light, Comfort, Sport) เพิ่มความหลากหลายในการขับขี่ให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยช่วยให้เข้าถึงระบบเครื่องเสียง ข้อมูลการขับขี่ และการตั้งค่าระบบ Adaptive Cruise Control ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย

หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว ให้ข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วนและคมชัด ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ระดับแบตเตอรี่ หรือข้อมูลระบบไฮบริดที่สำคัญ แต่สิ่งที่สร้างความประทับใจยิ่งกว่าคือ หน้าจอ Head-Up Display (HUD) ที่แสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนน เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายอย่างยิ่ง หากใครไม่คุ้นเคยก็สามารถเลือกปิดการทำงานได้ตามความต้องการ

หัวใจสำคัญของห้องโดยสารคือหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay, Android Auto, Bluetooth และเล่นไฟล์ MP3 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชัน Joox และระบบนำทาง Navigator ที่แสดงจุดสนใจ (POI) เช่น ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน และห้างสรรพสินค้าได้อย่างแม่นยำ เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง หน้าจอจะแสดงภาพจากกล้องหลังและกล้องมุมมอง 360 องศา ด้วยความละเอียดคมชัด ผู้ขับขี่สามารถเลือกดูภาพจากกล้องแต่ละมุมได้ ทำให้การจอดรถในพื้นที่แคบเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกอิสระซ้าย-ขวา ให้ความเย็นสบายทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร การปรับอุณหภูมิและความแรงลมจะทำผ่านหน้าจอสัมผัสกลาง ซึ่งในช่วงแรกอาจต้องใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยบ้าง แต่เมื่อชินแล้วก็จะรู้สึกว่าใช้งานได้ลื่นไหลไม่ติดขัด ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger) บริเวณคอนโซลกลางเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนที่รองรับ

เบาะนั่งด้านหลังของ HAVAL JOLION ไฮบริด ให้ความนุ่มสบาย นั่งโดยสารทางไกลได้โดยไม่รู้สึกเมื่อยล้า มีพื้นที่วางขาที่กว้างขวาง ผู้ใหญ่สามารถนั่งได้อย่างผ่อนคลาย พนักพิงเบาะหลังสามารถพับได้แบบ 60:40 และเมื่อพับลงไปแล้วจะได้พื้นที่เก็บสัมภาระที่เรียบสนิท เพิ่มปริมาตรการบรรทุกสัมภาระได้สูงสุดถึง 1,069 ลิตร ตอบโจทย์การเดินทางท่องเที่ยวหรือขนของชิ้นใหญ่ได้อย่างไร้กังวล นอกจากนี้ยังมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ช่วยให้ความเย็นสบายทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร

สมรรถนะการขับขี่และระบบส่งกำลัง: ผสานพลังไฮบริดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ภายใต้ฝากระโปรงของ HAVAL JOLION ไฮบริด คือหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีไฮบริดที่ GWM บรรจงสร้างสรรค์มาอย่างพิถีพิถัน ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุดที่ 190 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุดถึง 375 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับรถในพิกัดนี้ ระบบส่งกำลังแบบ DHT (Dedicated Hybrid Transmission) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานที่หลากหลายของรถยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ ทำให้การเปลี่ยนผ่านระหว่างโหมดการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและเครื่องยนต์เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด

เมื่อเท้าสัมผัสคันเร่ง คุณจะสัมผัสได้ถึงพละกำลังที่ตอบสนองอย่างฉับไวทันใจ แม้จะเป็นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร แต่ด้วยการเสริมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้การออกตัวและการเร่งแซงเป็นไปอย่างมั่นใจ อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ภายในเวลาประมาณ 9 วินาที ในโหมดสปอร์ต ซึ่งถือว่าจัดจ้านไม่แพ้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่า โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือแบตเตอรี่ต้องมีประจุเพียงพอ หากแบตเตอรี่เหลือน้อย แรงบิดและกำลังสูงสุดอาจลดลงเล็กน้อย แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดง่าย เพราะ HAVAL JOLION ไฮบริด มาพร้อมเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ (Intelligent Single Pedal) หรือที่รู้จักกันในชื่อ One Pedal Drive ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเร่งหรือชะลอความเร็วได้ด้วยคันเร่งเพียงแป้นเดียว เมื่อยกคันเร่ง รถจะหน่วงความเร็วลงเล็กน้อยคล้ายกับการเหยียบเบรกเบา ๆ ซึ่งไม่ได้ช่วยลดการใช้เบรกเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้มอเตอร์ไฟฟ้าปั่นไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพิ่มระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าและลดการใช้เชื้อเพลิงได้อย่างเห็นได้ชัด

HAVAL JOLION ไฮบริด มีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด เพื่อตอบสนองทุกรูปแบบการใช้งาน:
โหมดประหยัด (ECO): คันเร่งจะตอบสนองแบบหน่วง ๆ เน้นการขับขี่ที่นุ่มนวลและประหยัดน้ำมันสูงสุด เหมาะกับการขับขี่ในเมือง
โหมดมาตรฐาน (Normal): คันเร่งตอบสนองตามน้ำหนักเท้า เหมาะกับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
โหมดสปอร์ต (Sport): คันเร่งจะไวขึ้น รอบเครื่องยนต์จะสูงขึ้น มอบการตอบสนองที่ดุดันและเร้าใจ เหมาะสำหรับการเร่งแซงหรือต้องการความคล่องตัวสูง
โหมดพื้นหิมะ (Snow): ออกแบบมาสำหรับการขับขี่บนพื้นผิวลื่น โดยระบบจะใช้เกียร์สูง เพื่อลดการฟรีของล้อ เพิ่มการยึดเกาะถนนให้มั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมี “โหมดสำหรับการขับลุยน้ำ” ที่ระบบจะตัดการทำงานของไฮบริดและให้เครื่องยนต์ทำงาน 100% เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับระบบไฟฟ้า

ช่วงล่างและการควบคุม: ความสมดุลที่มั่นใจได้

ระบบช่วงล่างของ HAVAL JOLION ไฮบริด ถูกปรับแต่งมาอย่างดีเยี่ยม ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Strut และด้านหลังแบบ Torsion Beam ให้ความรู้สึกที่ “เฟิร์ม” แต่ไม่กระด้าง ซึ่งแตกต่างจากรุ่นพี่อย่าง HAVAL H6 ที่จะเน้นความนุ่มนวลเป็นพิเศษ สำหรับ JOLION ผมมองว่านี่คือจุดที่ลงตัว เพราะให้ความมั่นใจในการเข้าโค้งที่ความเร็วสูง หรือการเปลี่ยนเลนกะทันหัน ตัวรถมีการทรงตัวที่ดีเยี่ยม ไม่โยนตัวจนรู้สึกหวาดเสียว ในช่วงความเร็วต่ำ การซับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบ หลุมบ่อ หรือฝาท่อ ทำได้อย่างน่าพอใจ เก็บอาการได้ดี ในความเร็วสูง ตัวรถนิ่งสนิท ควบคุมง่าย ทำให้การเดินทางไกลเป็นไปอย่างราบรื่นและสบาย การขับขี่ผ่านคอสะพานหรือทางลาดชัน ตัวรถไม่มีอาการดีดหรือยวบยาบให้รู้สึกกังวล

ในด้านการเก็บเสียง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้สำหรับรถในกลุ่มนี้ เสียงลมจะเริ่มเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารเล็กน้อยเมื่อใช้ความเร็วประมาณ 110 กม./ชม. ขึ้นไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติของรถ SUV หลายรุ่น และไม่ได้รบกวนการสนทนาหรือการฟังเพลงภายในรถมากนัก

ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ (ADAS): ผู้ช่วยส่วนตัวบนท้องถนนปี 2025

หนึ่งในจุดแข็งที่ทำให้ HAVAL JOLION ไฮบริด เหนือกว่าคู่แข่งหลายรายในเซกเมนต์เดียวกัน คือชุดระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) ที่ทำงานร่วมกับกล้องติดรถยนต์ ADAS และชิปประมวลผล EYEQ4 ของ Mobileye ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีวิทัศน์สำหรับยานยนต์ ทำให้รถคันนี้มีความสามารถในการขับขี่กึ่งอัตโนมัติที่น่าทึ่ง และเพิ่มความปลอดภัยในทุกการเดินทาง

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control – ACC): ระบบนี้ทำงานได้อย่างราบรื่นมากครับ ไม่ใช่แค่การรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าเท่านั้น แต่ยังสามารถชะลอความเร็วและหยุดรถจนนิ่งสนิทตามรถคันหน้าได้ และเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ รถของเราก็จะเคลื่อนที่ตามไปโดยอัตโนมัติ การเร่งและชะลอความเร็วเป็นไปอย่างนุ่มนวล ไม่กระชาก ทำให้การขับขี่บนทางด่วนหรือในสภาพการจราจรติดขัดเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายอย่างมาก
ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ (Intelligent Parking Assist – IIP): นี่คือระบบที่ผมแนะนำเป็นพิเศษสำหรับมือใหม่หัดขับหรือผู้ที่กังวลเรื่องการจอดรถ ระบบใช้เซ็นเซอร์และกล้องในการตรวจจับช่องจอด ทั้งการจอดแบบเข้าซอง (Perpendicular Parking), จอดขนาน (Parallel Parking) และจอดแนวทแยง (Diagonal Parking) จากนั้นระบบจะเข้าจอดให้โดยอัตโนมัติ ผู้ขับขี่เพียงแค่ควบคุมเกียร์ตามคำแนะนำเท่านั้น การทำงานมีความแม่นยำสูง แม้จะต้องใช้เวลาในการประมวลผลเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือการจอดที่สมบูรณ์แบบในทุกครั้ง

นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ระบบเตือนการออกนอกเลน (Lane Departure Warning), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (Lane Keeping Assist), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning) และระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานประสานกันอย่างลงตัว เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยและมั่นใจสูงสุดในทุกเส้นทาง

อัตราสิ้นเปลืองและการใช้งานในชีวิตจริง

จากการทดสอบใช้งานจริง ผมพบว่าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันของ HAVAL JOLION ไฮบริด ทำได้ค่อนข้างน่าพอใจ หากขับขี่แบบเน้นประหยัด ควบคุมคันเร่งให้ระบบไฮบริดทำงานอย่างเต็มที่ และใช้ One Pedal Drive อย่างชำนาญ สามารถทำตัวเลขได้ดีถึงประมาณ 17-19 กม./ลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่ประทับใจมากสำหรับรถยนต์ SUV แต่หากเป็นการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ทั้งการขับขี่ในเมืองและการเดินทางออกต่างจังหวัดบ้าง ตัวเลขจะอยู่ประมาณ 14 กม./ลิตร ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับรถ SUV ไฮบริดทั่วไป และยังคงความคุ้มค่าด้านเชื้อเพลิงเมื่อเทียบกับสมรรถนะที่ได้รับ

สรุป: HAVAL JOLION ไฮบริด คือความคุ้มค่าที่ไม่มีใครเทียบในยุค 2025

หลังจากได้ทดลองขับขี่และสัมผัส HAVAL JOLION ไฮบริด อย่างละเอียด ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่านี่คือรถยนต์ SUV ไฮบริดที่ “คุ้มค่า” และ “ครบเครื่อง” ที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดปี 2025 ในราคาที่เข้าถึงได้ คุณจะได้รับทั้งดีไซน์ที่ล้ำสมัย ห้องโดยสารที่กว้างขวางและอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี สมรรถนะการขับขี่ที่สนุกและตอบสนองได้ดีเยี่ยม ระบบความปลอดภัยอัจฉริยะที่ให้ความมั่นใจ และอัตราสิ้นเปลืองที่น่าประทับใจ

HAVAL JOLION ไฮบริด ไม่ใช่แค่รถยนต์ที่พาคุณจากจุด A ไปจุด B แต่มันคือเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจและพร้อมตอบสนองทุกความต้องการในยุคสมัยใหม่ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่มองหารถยนต์ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและสไตล์ หรือครอบครัวที่ต้องการความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และพื้นที่ใช้สอย HAVAL JOLION ไฮบริด ก็พร้อมเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบ

อย่ารอช้าที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคตด้วยตัวคุณเอง!

หากคุณกำลังมองหารถยนต์ SUV ไฮบริดที่ตอบโจทย์ทุกมิติของชีวิตในปี 2025 ทั้งด้านความคุ้มค่า เทคโนโลยี สมรรถนะ และความปลอดภัย HAVAL JOLION ไฮบริด คือตัวเลือกที่คุณไม่ควรพลาด มาร่วมพิสูจน์ความเหนือชั้นและประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูม GWM ทั่วประเทศ!