
26 พ.ค. 2567 08:30 น.
เล่าเรื่อง SAAB ยานยนต์สวีเดนเทคโนโลยีอากาศยาน แบรนด์จากไปแต่ใจยังคงอยู่ (ตอนที่ 1)
-กกก+
ในอดีตหลายคนชอบแซะคนซื้อ Saab ว่าจะซื้อทำไมในเมื่อเป็นแบรนด์ที่ชื่อชั้นเป็นรองรถหรูเยอรมันอย่างมาก ราคาก็ไม่ได้ถูก อันที่จริง Saab ไม่ใช่แบรนด์โนเนม ในทางตรงกันข้าม เป็นค่ายสวีเดนที่มีประวัติมายาวนาน ก่อร่างสร้างตัวมาจากบริษัทที่ผลิตเครื่องบิน และพยายามประยุกต์การออกแบบที่ใช้ในอากาศยานมาอยู่ในรถยนต์ นวัตกรรมบางอย่างที่เราใช้กันมาจนชินในทุกวันนี้ ก็ได้ Saab นี่ล่ะเป็นค่ายที่พยายามทำมาให้ใช้ในรถยนต์นั่งเป็นเจ้าแรกๆ วันนี้ เราจะมาเล่าประวัติอย่างย่อของ Saab แบรนด์รถสวีเดนที่ถึงตายไป แต่เมืองไทยยังมีคนศรัทธาใช้เหลืออยู่เยอะ


…

สัปดาห์ก่อน มีเรื่องที่ฮือฮาวงการรถในเมืองไทยกันเมื่อมีคนทำคอนเทนต์จั่วหัวว่า Suzuki ประกาศจะเลิกกิจการรถยนต์ในประเทศไทย แล้วมีคนแชร์ต่อกันไป มีสำนักข่าวที่ทำงานในระบบ “มโนโทรนิกส์” เอาไปเล่นข่าวต่อจนเป็นกระแส กระแสที่ว่านี่ก็คือบรรดาลูกค้าทยอยเดินทางไปถอนจองรถกันทั่วประเทศ ร้อนจนดีลเลอร์ผู้แทนจำหน่ายที่สนิทกับผมส่งข้อความมาถามว่านี่เกิดอะไรกันขึ้นวะพี่ ผมได้แต่บอกว่าแหะ แหะ เรื่องนี้ผมว่ามันเข้าทำนองไม่ได้ดังใจก็จุดไฟเผานาล่ะครับ ความโมโหทำให้ขาดความยั้งคิด แล้วผลกระทบที่ตามมาก็ใหญ่กว่าที่คาด

สิ่งที่ผมบอกเล่าได้ก็คือ เวลาบริษัทรถจะเจ๊ง ผมไม่เคยเจอใครป่าวประกาศว่าตัวเองจะเจ๊งหรอกครับ บอกทำไมให้เหลือสินค้าค้างสต๊อกเล่าครับ ขายให้เกือบหมดก่อนแล้วค่อยเท สมัย Chevrolet เทกระจาดไทยเลิกทำรถพวงมาลัยขวาทั่วโลกด้วยนั้น ในบรรดาเพื่อนผมมีคนเป็นดีลเลอร์หลายคน ก็ได้ข่าวว่ารับทราบการเทของ Chevrolet ในไทยพร้อมๆ กับสื่อมวลชนนี่ล่ะ ใครบอกสื่ออมข่าว ขอบอกว่าสื่อมวลชนหลายท่านเพิ่งซื้อรถของค่ายนี้ไปก่อนหน้าไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ แต่เอาล่ะ เรามองข้ามจากระดับประเทศ ไปในระดับโลก กับแบรนด์อย่าง Saab แห่งสวีเดน นี่ก็จู่ๆ จะไปก็ไป ด้วยคำสั่งเชือดจาก GM ที่อเมริกาสมัยนั้น ที่ต้องเชือด เพราะในช่วง Hamburger Crisis นั้นเอง GM ที่เคยเป็นอันดับหนึ่งอุตสาหกรรมรถยนต์โลก ก็อยู่ในภาวะล้มละลายเช่นกัน แบรนด์ดีๆ ประวัติดี สตอรี่เด่นๆ ตายคามือ GM ไปหลายเจ้า


…
ชื่อของ Saab นั้น ย่อมาจากคำว่า Svenska Aeroplan AktieBolaget ซึ่งแปลตรงตัวว่า “บริษัท อากาศยานสวีเดน” เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 จากเดิมเป็นบริษัทผลิตเครื่องบินเล็กๆ ที่ผลิตเครื่องบินให้เยอรมนี เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเยอรมนีเป็นฝ่ายแพ้นั้น เขาก็โดนจับเซ็นสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งมีข้อบังคับจำกัดหลายอย่างรวมถึงห้ามชาวเยอรมันผลิตเครื่องบินเองภายในประเทศด้วย เยอรมันก็ไม่โง่นี่ครับ เห็นสวีเดนมีช่างเก่ง มีเหล็กดี ก็จ้างทำเสียเลย แต่พอช่วงฮิตเลอร์เริ่มเรืองอำนาจ สวีเดนมองเกมขาดว่าตาหนวดนี่จะเป็นภัยโลกในภายหน้า ก็เริ่มหาทางสร้างอาวุธของตนเองใช้ บริษัทอากาศยานสวีเดนเกิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้ ถึงแม้สวีเดนจะเป็นกลาง แต่ก็ต้องมีของพกไว้ให้อุ่นใจเผื่อตาหนวดแกลั่นส่งกำลังมารังควาญ

พอ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แพ้แล้วฆ่าตัวตายไปในเดือนเมษายน 1945 เยอรมนี แพ้สงคราม โรงงานที่เคยใช้ผลิตเครื่องบินเพื่อการสงครามก็ว้าเหว่ บริษัทก็เลยต้องหาทางผลิตอะไรที่มันเป็นเหล็กแก้เหงามือ และเพื่อสร้างความยั่งยืนทางการเงินให้ตัวเองในภายหน้า พวกเขาเลือกที่จะผลิตรถยนต์โดยปรับโรงงานที่เมือง Trollhattan จนสามารถผลิตรถยนต์ได้ แล้วก็วิจัยสร้างรถรุ่นแรกออกมา คือ Saab 92
…

คุณทราบหรือไม่ว่า Saab ใช้วิศวกรแค่ 16-18 คนในการออกแบบและสร้างรถรุ่นนี้ วิศวกรทุกคน ไม่เคยมีความรู้หรือทักษะในการออกแบบรถยนต์มาก่อน และมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่มีใบขับขี่ ชื่อรุ่นรถ “92” นั้นก็มีที่มาอันแสนจะง่ายดายว่า ก็ก่อนหน้านี้ Saab เคยสร้างเครื่องบินใบพัดฝึกบินรุ่น “91” ก็ไม่ต้องคิดมาก เอาเลข 92 มาใช้นั่นแหละจบๆ ฟังดูเหมือนมักง่าย แต่นั่นคือจุดกำเนิด DNA สไตล์อินดี้ที่เป็นตัวตนของ Saab ถึงแม้ ณ ปี 1945 นั้น มีบริษัทรถยนต์หลายเจ้าสร้างรถขายมาก่อนแล้ว Saab เป็นบริษัทแรกที่เอาวิศวกรเครื่องบินมาสร้างรถ ออกแบบบอดี้ให้มีความลู่ลมเหนือใคร Saab 92 ที่ออกขายในปี 1949 นั้น มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน = 0.30 นะครับ เมื่อคูณพื้นที่หน้าตัดของรถขนาดเล็กเข้าไปแล้ว ก็ถือว่าลู่ลมมากพอๆ กับเบนซ์ 190E ที่เกิดหลังจากนั้น 33 ปี การสร้างตัวถังก็ปั๊มจากเหล็กชิ้นเดียวไร้รอยต่อ แล้วค่อยมาเจาะช่องใส่ประตูใส่กระจก

…
เครื่องยนต์ของ Saab 92 เป็นเครื่อง 2 จังหวะ ความจุแค่ 764 ซีซี เท่านั้น ซึ่งก็เพียงพอต่อการทำความเร็วสูงสุด 105 กม./ชม. จุดเด่นอีกอย่างที่ล้ำสมัยกว่าใครคือ 92 เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ในยุคที่ค่ายอื่นยังเน้นขับหลังกันอยู่ เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่รถ Production car ขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นแรกของโลก เท่านั้นล่ะครับ (ตำแหน่งนั้น ตกเป็นของ Citroen Traction Avant ปี 1933) ในภายหลัง รถรุ่น 92 ก็ได้รับการอัปเดตไปเป็นรุ่น 93


รถของ Saab รุ่นแรกที่มีการผลิตเพื่อการส่งออก คือรุ่น 96 ซึ่งขายตั้งแต่ปี 1960 ด้วยเวอร์ชันเครื่องยนต์ 2 จังหวะ จากนั้นในปี 1967 ก็มีเวอร์ชันเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบ V4 จาก Ford Taunus มาใช้ และยังเป็นรุ่นที่สร้างชื่อเสียงในมอเตอร์สปอร์ตเป็นรุ่นแรก จากการเข้าแข่งขันแรลลี่ Monte Carlo ภายใต้การบังคับควบคุมของนักแข่งชาวสวีเดนอย่าง Stig Blomqvist


แต่รถรุ่นที่เรียกได้ว่าพลิกภาพลักษณ์ Saab ในครั้งแรก คงต้องยกให้กับ Saab 99 ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงการเป็นรถรุ่นแรกของค่ายที่มีตำแหน่งทางการตลาดเริ่มเบนไปในแนว Premium-Executive แข่งกับ Mercedes-Benz กับ BMW เท่านั้น แต่ Saab 99 ที่เริ่มขายในปี 1968 นี้ ยังนับว่าเป็น Saab แบบ All-new ใหม่ยกคันรุ่นแรกภายในรอบ 18 ปี เพราะรุ่นก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็น 92, 93 หรือ 96 ก็มีพื้นฐานหลายอย่างที่ใช้ร่วมกัน

Saab 99 คือรถที่มีความทันสมัยมากกว่าที่ตาคุณเห็น กระจกบานหน้าที่ใหญ่ ตั้งชัน และกินบริเวณมาด้านข้างมากกว่ารถอื่นๆในสมัยเดียวกันนั้น เป็นแนวคิดจากอากาศยานครับ ถึงแม้จะทำให้รถดูไม่เซ็กซี่ แต่เรื่องทัศนวิสัยเวลาปราดตามองไปโดยรอบนั้นกินขาดพวกรถรุ่นใหม่ๆ กระจกลาดๆ เอียงๆ เยอะ นอกจากนี้ Saab ยังเป็นต้นกำเนิดของระบบใบปัดไฟหน้า คือเป็นค่ายแรกที่เอามาใช้ในรถผลิตขายจริง เนื่องจากที่สวีเดนนั้น หิมะตกหนักมาก เพื่อให้ไฟหน้าไม่ถูกบดบัง Saab จึงใช้ใบปัดและหัวฉีดน้ำเล็กๆ ซึ่งทำงานเมื่อคุณกดฉีดน้ำล้างกระจกหน้า Saab ทดสอบโดยการเปิดใบปัดนี้ให้ทำงาน นับได้ 1,500,000 ครั้ง ยืดๆ หดๆ ปัดๆ อยู่ใน Lab แล้วจึงนำมาติดตั้งในรถขาย เพราะในยุคนั้น Saab พยายามเน้นเรื่องคุณภาพเป็นอย่างยิ่ง ถ้ารถขายดีแล้วผลิตไม่ทัน ผู้บริหารก็จะบอกว่า “ก็ให้ลูกค้ารายหลังๆ รอไป เพราะเราต้องการคุมเรื่องคุณภาพการผลิตให้ดีที่สุด” ของที่จะใช้ในรถก็ควรทนทานต่อสภาพอากาศที่ทารุณของชนบทสวีเดนได้

นอกจากนี้แล้ว Saab 99 ยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่มีออปชันเบาะอุ่น (ฮีตเตอร์) ให้ใช้ด้วยตั้งแต่ปี 1971 ซึ่งใช้คอยล์อุ่นร้อนด้วยไฟฟ้าติดตั้งในเบาะรองนั่งและพนักพิงหลัง แล้วก็เอา Thermostat มาคุมให้ระบบอุ่นเบาะทำงานโดยอัตโนมัติ เมื่ออุณหภูมิในห้องโดยสารต่ำกว่า 14 องศาฯ ก็จะเริ่มทำ และหยุดทำเมื่อตัวเบาะอุ่นถึง 27 องศาเซลเซียสโดยทั่ว แล้วยังมีอะไรอีก? กันชนหน้าของ 99 ในสเปกกันชนใหญ่ โดยเฉพาะพวกรถไฟกลมสี่ดวงที่ขายในอเมริกานั่นล่ะครับ มันเป็นกันชนแบบที่ออกแบบมาให้ฟูตัวคืนกลับได้เองหลังชน ในขณะที่ชาวบ้านชาวช่องรองรับการชนแบบนี้ที่ 4 กม./ชม. Saab ในปี 1970 รองรับได้ถึง 8 กม./ชม. หรือเร็วเท่าคนเดินแบบจ้ำอ้าวๆ เลยทีเดียว ส่วนที่เสียหายจากการชนก็จะมีแค่แถบโครเมียมตกแต่งซึ่งเปลี่ยนได้ในราคาถูก การที่ Saab ทำกันชนแบบนี้ออกมา ทำให้เบี้ยประกันของ Saab ในสมัยนั้นถูกกว่ายี่ห้ออื่นด้วย

แต่นวัตกรรมสำคัญอะไรหลายอย่าง ก็ไม่เป็นที่จดจำมากเท่าเรื่องความแรง ในงาน Frankfurt Autoshow เดือนกันยายนปี 1977 เป็นครั้งแรกที่ Saab เปิดตัวรถยนต์นั่งเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จจากโรงงาน เป็นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 145 แรงม้า อาจจะฟังดูไม่เยอะนะครับ แต่ในปีนั้นเบนซ์ 280E W123 เครื่อง 2.8 ลิตรตัวท็อปทวินแคมก็มีแรงม้าราว 185 แรงม้า และรถ 2.0 ลิตรส่วนมากยังคุยกันที่แรงม้าไม่ถึง 100 ตัวด้วยซ้ำ 99 Turbo ช่วงแรก มาในบอดี้คูเป้ ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 9.2 วินาที และห้อยันขอบฟ้าได้ที่ความเร็ว 200 กม./ชม. สมัยนั้น สื่อมวลชนที่ไหนได้มาขับ ก็ติดอกติดใจในการตอบสนองของพละกำลังแรงบิด โถคุณ..สมัยนั้นเครื่องเทอร์โบยังเป็นของแปลกใหม่นี่ครับ ก่อนหน้านั้นน่ะ มีรถ Production Car ที่ใช้เทอร์โบกี่รุ่นเอง Oldsmobile Jetfire, Chevrolet Monza Spyder, BMW 2002 Turbo แล้วก็ Porsche 911 Turbo (930) แค่นั้นเองครับ ราคาดี เซฟตี้ได้ แรงกระจาย ก็เลยขายดีมาก ขนาดที่ว่าแม้ไม่ใช่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ระดับท็อปของโลก Saab ก็ขาย 99 Turbo ได้เกิน 10,000 คันภายในเวลาสองปีเท่านั้น

เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ตอนที่ BMW เปิดตัวรถสมรรถนะสูงอย่าง M4 รุ่นพิเศษ GTS ซึ่งได้พละกำลัง 500 แรงม้าจากการใช้ระบบฉีดน้ำเข้าผสมกับอากาศและเชื้อเพลิงก่อนเข้าห้องเผาไหม้ ใช้น้ำในการลดอุณหภูมิไอดี หลายคนว่าเป็นของแปลก แต่ขอโทษครับ Saab ใช้ระบบนี้กับ 99 Turbo S มาก่อนแล้วหลายทศวรรษ โดยเขาจะเรียกว่าระบบ ADI-Anti Detonation Injection แม้จะไม่ล้ำสมัยแบบรถใหม่ แต่หลักการคือใช้น้ำฉีดเป็นละอองฝอยละเอียดมากเพื่อลดความร้อนไอดี เมื่อไอดีเย็นลง เครื่องยนต์ก็ได้แรงม้าเพิ่มขึ้น 99 Turbo S นั้นก็ได้แรงม้าเพิ่ม 15-20 ตัวจากรุ่นธรรมดาครับ เรื่องแบบนี้คุณลองไปตั้งกระทู้ถามในโซเชียลได้ แล้วคุณจะเจอคนตอบว่าจะบ้าเหรอ ใครเขาฉีดน้ำเข้าห้องเผาไหม้กัน มีแต่ฉีดใส่อินเตอร์คูลเลอร์ ถ้าคุณพอมีเวลาก็ช่วยดึงคนกลุ่มนั้นออกจากความไม่รู้หน่อยครับ แต่ดึงครั้งเดียวพอ ไม่ต้องซ้ำ ถ้าเขาสมัครใจจะเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ

Saab 99 นี้ เป็นรถรุ่นสุดท้ายที่ Saab นำลงแข่งใน WRC อย่างเป็นทางการ แต่ในแง่ยอดขายกับภาพลักษณ์ ถือว่าเป็นยุคที่พุ่งรุ่งขีดสุด ด้วยปรัชญาการออกแบบที่นำเอาวิศวกรรมจากอากาศยานมาใช้ในการออกแบบ เบาะนั่งทรงเอกลักษณ์ของ Saab ไปจนถึงหน้าปัดที่ออกแบบมาให้ไม่สะท้อนเงาในตอนกลางวัน และอ่านมาตรวัดได้ชัดตอนกลางคืน ตัวถังที่มีความปลอดภัยต่อการชน และดีไซน์กระจกหน้าชัน กระจกข้างบานหลังตีโค้งเหมือนไม้ฮอกกี้ อย่างหลังนี้เป็นเอกลักษณ์ที่จะอยู่ต่อไปจนวันตายของ Saab เลยครับ


มรดกดีๆ หลายอย่างก็ถูกส่งทอดต่อมาจนถึงรุ่น 900 เจเนอเรชันแรก ที่คนรัก Saab มักเรียกกันว่า 900 Classic ซึ่งเผยโฉมในปี 1978 และขายควบคู่ไปกับ 99 รุ่นเดิม โดยยกเลิกตัวถังคูเป้ท้ายลาดใน 99 ก่อน เพราะ 900 เปิดตัวมาในแบบ 2 ประตูเป็นรุ่นแรก ก่อนจะตามมาด้วยตัวถัง 4 ประตูซีดาน 5 ประตู และเปิดประทุนในภายหลัง พื้นฐานของตัวรถหลายอย่างนั้น เป็นการยกยอดมาจากรุ่น 99 ทำให้มีมรดกความพิสดารและความล้ำลึกทางวิศวกรรมหลายอย่างที่เหมือนกัน อย่างแรกเลยก็คือ เมื่อคุณเปิดฝากระโปรงมา จะเห็นตัวเครื่องเป็นแบบวางตามยาว อย่าเพิ่งนึกว่าเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังนะครับ ทั้ง 99 และ 900 เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าที่ใช้เครื่องวางตามยาว บางคนที่เป็นเรื่องรถหน่อยอาจจะบอกว่า อ๋อ เหมือนพวก Audi 80 กับ 100 ก็เกือบถูกครับ แต่เครื่องของ Saab นั้นจะหันกลับทิศ เอาตูดเครื่องหันมาหน้ารถ แล้ววางเครื่องเอียง 45 องศา พอท้ายเครื่องอยู่ด้านหน้า ก็มีชุดเฟืองต่อกลับจากข้างหน้า มาเจอชุดเกียร์ที่วางอยู่ข้างล่างเครื่องยนต์ แล้วค่อยไปขับเคลื่อนล้อคู่หน้า เป็นไงล่ะครับ ครั้งแรกที่อ่านเจอผมก็ตะลึงกับวิธีคิดของเขาเหมือนกัน

สำหรับการออกแบบภายในนั้น Saab จะมีวิธีคิดในการจัดวางสิ่งต่างๆ ดังนี้ อะไรที่ต้องรู้บ่อย ให้อยู่ใกล้ตา อะไรที่ต้องกดต้องใช้บ่อย ให้อยู่ใกล้มือ ไอ้สิ่งที่นานๆ จะใช้สักที ก็เอาไว้เป็นลำดับไกลมือออกไป ปรัชญาการออกแบบง่ายๆ เพื่อความปลอดภัยเหล่านี้ เกิดจากการสะสมข้อมูล วิจัย และสัมภาษณ์จากลูกค้าตัวจริง คุณคิดว่ารถสมัยใหม่อาจจะมีอุปกรณ์เยอะ ไม่น่าจะจัดเรื่องอุปกรณ์ให้ง่ายแบบ Saab ทำได้ แต่ถ้าลองถามไปยังผู้ผลิตรถในปัจจุบันว่า “คุณทราบไหมว่าลูกค้าของคุณกดใช้อะไรบ่อยสุด” คุณอาจจะเซอร์ไพรส์ที่บางค่ายไม่ทราบ บางค่าย คุณดูจากการออกแบบก็รู้แล้วว่า ไม่เคยคำนึงถึงเรื่องพวกนี้

เครื่องยนต์ของรุ่น 900 นั้น มีทั้งแบบธรรมดา และเทอร์โบ ทุกเครื่องจะมีความจุ 2.0 ลิตร แรงม้ามีตั้งแต่ 101 ไปจนถึง 118 แรงม้าในบรรดาเครื่องที่เป็นรุ่น 8 วาล์ว ในภายหลังเมื่อมีรุ่น 16 วาล์วมาก็ได้แรงม้าเพิ่มเป็น 130 แรงม้า ส่วนรุ่นเทอร์โบนั้น ก็มีตั้งแต่ 145 แรงม้าเท่า 99 Turbo ไล่ขึ้นมาตามปี ก็จะมีการอัปเดตเพิ่มเติม เช่น การใส่อินเตอร์คูลเลอร์เพิ่มจนทำให้มีพลัง 155 แรงม้า ก่อนจะเปลี่ยนฝาสูบเป็น 16 วาล์ว ชาร์จเพิ่มได้อีกเป็น 175 แรงม้า แรงบิด 273 นิวตันเมตร รุ่น Turbo โฉมหลังๆ นี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 8.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม.

ในปี 1982 Saab เป็นผู้ผลิตรถเครื่องยนต์เทอร์โบตัวแรกที่ติดตั้งระบบควบคุมบูสต์เทอร์โบด้วย Knock Sensor หรือเครื่องตรวจจับการชิงจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ ในสมัยนั้นที่อิเล็กทรอนิกส์ยังไม่ค่อยพัฒนา รถเครื่องเทอร์โบนั้นมีปัจจัยเสี่ยงคือความร้อน ยิ่งซัดหนัก เครื่องยิ่งร้อน ส่งผลให้เกิดการชิงจุดระเบิดก่อนลูกสูบเคลื่อนถึงจุดศูนย์ตายบน ไอ้เสียงก๊อกๆ จากนรกนี่แหละครับ รถบ้านเครื่องธรรมดาอัตราส่วนกำลังอัดต่ำๆ ยังพอทนได้ แต่พวกเครื่องมอเตอร์สปอร์ตกำลังอัดสูง และเครื่องเทอร์โบจะแพ้มาก คนที่ปรับจูนเครื่องสำหรับการใช้งานบนถนนจึงไม่กล้าดันกำลังแบบถวายชีพ แต่ Saab ใช้ระบบตรวจจับการน็อกของเครื่อง แล้วส่งสัญญาณให้เครื่องปรับอัตราการบูสต์ของเทอร์โบ คือถ้ามีการน็อกก็จะลดบูสต์ลงให้เอง รถเทอร์โบของ Saab จึงเติมน้ำมันเบนซินออกเทนตั้งแต่ 93 ยัน 98 ได้ตามใจชอบโดยเครื่องไม่พัง เขาเรียกระบบนี้ว่า APC-Automatic Performance Control ซึ่งในปัจจุบันเป็นเรื่องปกติมาก แต่ในปี 1982 ถือว่าล้ำหน้ากว่าเยอรมันและญี่ปุ่นเสียอีก

ช่วงปี 1987 หลังจากที่ Saab เปิดตัวรถขนาดใหญ่ที่ดูทันสมัยขึ้นอย่างรุ่น 9000 ทาง Saab เองก็ปรับโฉมรุ่น 900 (Facelift) โดยสิ่งที่สังเกตได้ง่ายสุด ก็คือไฟหน้า และกระจังหน้าที่ดูมีความลาดเอียง เยาว์วัยขึ้น มีความคล้ายหน้าของรุ่น 9000 แต่วิศวกรรมของรถโดยหลักๆ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผู้บริหารต้องการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย ซึ่งในขณะนั้น แม้ชื่อเสียงบริษัทจะดี แต่ในด้านการเงินค่อนข้างน่าเป็นห่วง

อย่างไรก็ตาม ความทนทาน การออกแบบเพื่อการใช้งานจริงจัง และอัตราการเกิดปัญหาที่น้อยเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์เทอร์โบของค่ายอื่น ทำให้ Saab Turbo เป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างรวดเร็ว Saab เป็นบริษัทรถยนต์เจ้าแรกที่ขายรถเก๋งติดเทอร์โบได้ครบ 100,000 คันในปี 1983 นอกจากนี้ ด้วยรูปทรงของรถที่แตกต่าง คือกล้าพิลึก กล้าแปลก อินดี้แบบไม่สนโลก คนอื่นจะเอารูกุญแจไว้บนแดชบอร์ด Saab ก็เอาไว้ที่คอนโซลกลาง ทั้งโลกออกแบบให้กระจกหน้าเอียง Saab บอกจะเอาตั้ง คนอื่นบอกเครื่องเทอร์โบ ไม่ทน Saab บอก งั้นเราก็จะทำให้ทน

สิ่งเหล่านี้ทำให้ Saab กลายเป็นรถที่โด่งดัง เป็นผู้ผลิตรถที่จำหน่ายรถบนโลกไปมากกว่า 1 ล้านคัน โดยเฉพาะรถอย่าง Saab 900 Turbo Convertible เปิดประทุนนั้น เป็นรถที่มีค่าอย่างมากในแง่การเป็นรถสะสม ที่มีเอกลักษณ์ “สวยไม่สน” แต่เทคนิคเป็นเลิศ ขับสนุก แรงดี ใช้ง่าย และปลอดภัย ทุกวันนี้ใครมี Saab 900 ตัวแรกที่เป็นเปิดประทุน บอกเลยว่าขับไปมีตติ้งรถคลาสสิก เด่นแน่นอน มีแต่คนที่ไม่รู้เรื่องรถ ที่จะไม่ทราบความเด็ดและ Story ของรถรุ่นนี้

Saab 900 Classic ถือเป็นรถมีความขลังตรงที่หลายคนบอกว่า มันคือ Saab 100% แท้ๆ รุ่นสุดท้ายครับ เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา Saab ทุกรุ่น มี DNA มีเนื้อมีกระดูกของรถยี่ห้ออื่นปะปนอยู่มากขึ้น 900 Classic จึงถูกมองว่าเป็น “จุด Peak ของค่าย” ทั้งที่ความจริงในช่วงเวลาที่ 900 Classic ขายอยู่นั้น ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ Saab ทำยอดขายได้ดีที่สุด ถึงแม้เราจะไปปฏิเสธว่า Saab 900 Classic นี้เป็นรถรุ่นแรกที่ช่วยพาทางค่าย ให้ขายรถได้แตะหลักแสนคันต่อปีก็ตาม
สัมปทานหน้ากระดาษหมดเสียก่อน ไว้บทความตอนหน้า เราจะพูดถึง Saab ในยุคต่อไป และวาระช่วงท้ายของแบรนด์ ก่อนกลายเป็นตำนานครับ
Pan Paitoonpong
![[ครบชุด] 1010277 เสียค่าเข้าห้องน้ำ 1,ooo เพราะเป็นกฏของร้าน ได้ด้วยหรอ](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-684.png)
![[ครบชุด] 1010278 แค่เก็บกระเป๋าได้ คุณนายให้ค่าตอบแทน 1 แสuบๅท](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-686.png)