[ครบชุด] PI10376 หัวใจใสๆ ของนายกระจอก ตอนจบ ละครสั้น

Toyota Yaris ATIV HEV 2025: เจาะลึกช่วงล่างเหนือชั้น ประสิทธิภาพไฮบริดเต็มพิกัด โดยผู้เชี่ยวชาญยานยนต์ 10 ปี

วงการยานยนต์ในประเทศไทย ไม่เคยหยุดนิ่ง โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก B-Segment ที่การแข่งขันดุเดือดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และในปี 2025 นี้ สิ่งที่ผู้บริโภคมองหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ราคาที่เข้าถึงง่าย แต่ยังรวมถึงสมรรถนะที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน, เทคโนโลยีที่ทันสมัย, ความสะดวกสบาย, และที่สำคัญที่สุดคือ “ความประหยัดน้ำมัน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ Toyota Yaris ATIV HEV โดดเด่นขึ้นมาในฐานะผู้เล่นคนสำคัญในเกมนี้ ผมในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการรถยนต์มานับทศวรรษ ขอบอกเลยว่าการมาของ Yaris ATIV HEV ไม่ใช่แค่การ “เสียบปลั๊กแบตเตอรี่” เข้าไปในรุ่นเดิม แต่เป็นการปรับปรุงและจูนอัพครั้งใหญ่ที่พลิกโฉมประสบการณ์การขับขี่โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะช่วงล่างที่กล้ากล่าวได้ว่า “ดีที่สุดในคลาส”

ถอดรหัส Yaris ATIV HEV: มากกว่าแค่การอัปเกรดเครื่องยนต์

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า Yaris ATIV HEV จะแตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ 1.2 ลิตรที่เราคุ้นเคยกันอย่างไร หรือเป็นเพียงแค่การนำเทคโนโลยีไฮบริดมาเสริมเติมแต่งเท่านั้น จากประสบการณ์ตรงและจากการศึกษาเชิงลึก ต้องยอมรับว่า Toyota ได้ยกระดับรถยนต์รุ่นนี้ไปอีกขั้น เพื่อให้ตอบรับกับความต้องการของตลาดปี 2025 ที่ต้องการรถยนต์ไฮบริดที่แท้จริง ไม่ใช่แค่มีชื่อเสียงเรียงนามว่า “ไฮบริด” เฉยๆ

สำหรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีนี้ Toyota Yaris ATIV HEV มาพร้อมสองรุ่นย่อยหลัก ได้แก่ HEV Premium และ HEV GR SPORT ซึ่งแต่ละรุ่นมีบุคลิกและจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่หลากหลาย
HEV Premium: ราคาแนะนำ 719,000 บาท (ราคาปกติ 729,000 บาท)
HEV GR SPORT: ราคาแนะนำ 769,000 บาท (ราคาปกติ 779,000 บาท)

ราคาที่เปิดตัวมา ถือว่าเป็นการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ได้อย่างน่าสนใจในกลุ่มรถยนต์ B-Segment ที่เน้นความประหยัดและเทคโนโลยี และสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานคือการรับประกันคุณภาพตัวรถจาก โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ที่เหนือกว่ามาตรฐานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการรับประกันคุณภาพตัวรถ (Warranty) นานถึง 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร และที่สำคัญคือการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดที่ยาวนานถึง 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง นี่คือสิ่งที่ตอกย้ำความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีและคุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดจาก Toyota ได้เป็นอย่างดี และเป็นจุดที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญอย่างมากเมื่อตัดสินใจลงทุนกับเทคโนโลยีไฮบริด

ในด้านมิติตัวถัง Toyota Yaris ATIV HEV ยังคงรักษาความคล่องตัวในแบบซีดานคอมแพ็คที่เหมาะกับการใช้งานในเมือง แต่ก็มีพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก
ยาว: 4,425 – 4,440 มิลลิเมตร (แตกต่างกันในรุ่น GR SPORT ที่มีชุดแต่ง)
กว้าง: 1,740 มิลลิเมตร
สูง: 1,480 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ (wheelbase): 2,620 มิลลิเมตร
ระยะต่ำสุดถึงพื้น (ground clearance): 160 มิลลิเมตร
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด: 4.8 – 5.2 เมตร (คล่องตัวสำหรับการจราจรในเมือง)
ความจุถังน้ำมัน: 36 ลิตร (เพียงพอสำหรับการเดินทางไกลด้วยอัตราสิ้นเปลืองที่ยอดเยี่ยม)

มิติตัวถังที่สมดุลนี้ ทำให้ Toyota Yaris ATIV HEV สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย ทั้งการขับขี่ในเมืองที่ต้องการความคล่องตัว และการเดินทางนอกเมืองที่ต้องการความมั่นคงและสะดวกสบาย

เบื้องลึกวิศวกรรม: มหัศจรรย์แห่งการปรับจูนที่เหนือกว่าแค่ระบบขับเคลื่อน

สิ่งหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างผมมักจะมองหาในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ คือการปรับปรุงที่ “ลึกซึ้ง” ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนส่วนประกอบภายนอก สำหรับ Yaris ATIV HEV ผมพบว่า Toyota ได้ลงทุนในการปรับจูนทางวิศวกรรมในหลายจุด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้รถคันนี้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

ประการแรก แม้เครื่องยนต์พื้นฐานของ Yaris ATIV HEV จะมีโครงสร้างเดียวกับ Yaris Cross แต่ Toyota ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น มีการปรับแต่งเครื่องยนต์ในรายละเอียดปลีกย่อย เช่น การปรับแต่งการไหลเวียนของอากาศใหม่, การติดตั้งปั๊มน้ำใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บความร้อน เพื่อส่งเสริมการจุดระเบิดให้ดียิ่งขึ้น และการจูน ECU ใหม่ทั้งหมด การปรับแต่งเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มแรงม้า แต่เป็นการ “เพิ่มประสิทธิภาพอัตราการประหยัดน้ำมัน” ให้ถึงขีดสุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในปี 2025 ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ท่ามกลางสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ผันผวน การมีรถยนต์ประหยัดน้ำมันอย่างแท้จริงถือเป็นแต้มต่อที่สำคัญมาก

ประการที่สอง โครงสร้างตัวถังในส่วนด้านหลังนั้น ได้รับการถ่ายทอดมาจาก Yaris Cross ซึ่งเป็นรถที่มีความแข็งแรงและโครงสร้างที่รองรับการติดตั้งแบตเตอรี่ไฮบริดได้ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับ Yaris ATIV HEV ยังมีการเสริมความแข็งแรงให้กับตัวถังเพิ่มขึ้นไปอีก จุดนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัยในการขับขี่ และยังมีส่วนช่วยลดอาการบิดตัวของตัวถัง ส่งผลให้การควบคุมรถมีความแม่นยำและมั่นคงยิ่งขึ้น นี่คือรากฐานสำคัญที่ทำให้ช่วงล่างทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

และประการสุดท้าย ซึ่งเป็น “พระเอก” ของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้คือ “การปรับจูนช่วงล่างใหม่ทั้งหมด” เนื่องจากการเพิ่มน้ำหนักของระบบไฮบริดและแบตเตอรี่ ส่งผลให้น้ำหนักตัวรถเพิ่มขึ้นประมาณ 100 กิโลกรัมในรุ่น Premium และมากถึง 120 กิโลกรัมในรุ่น GR SPORT การเพิ่มน้ำหนักนี้บังคับให้วิศวกรต้องจูนช่วงล่างใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโช้คอัพและสปริง เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้อย่างเหมาะสม โดยไม่กระทบต่อความสะดวกสบายหรือสมรรถนะ และที่น่าสนใจคือ การปรับจูนช่วงล่างและพวงมาลัยของทั้งสองรุ่นย่อย (Premium และ GR SPORT) มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพื่อตอบสนองบุคลิกการขับขี่ที่แตกต่างกันของแต่ละรุ่น นี่ไม่ใช่แค่การ “เปลี่ยนอะไหล่” แต่เป็นการ “สร้างสรรค์ประสบการณ์” ที่แตกต่างอย่างแท้จริง

เทคโนโลยีไฮบริดของ Toyota ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานในเรื่องของความทนทานและการประหยัดพลังงาน แต่การนำมาปรับใช้ใน Yaris ATIV HEV นี้ ถือเป็นการผสานรวมกันอย่างลงตัวกับโครงสร้างและช่วงล่างที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ ทำให้รถคันนี้ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฮบริดธรรมดา แต่เป็นรถยนต์ที่มี “สมรรถนะโดยรวม” ที่โดดเด่นทั้งในด้านการขับขี่ ความประหยัด และความปลอดภัย

ประสบการณ์บนเส้นทางจริง: มุมมองผู้เชี่ยวชาญกับพลวัตการขับขี่

เพื่อสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ผมได้รับโอกาสทดสอบ Toyota Yaris ATIV HEV บนเส้นทางที่หลากหลาย ตั้งแต่การจราจรหนาแน่นในกรุงเทพฯ ไปจนถึงถนนที่โล่งโปร่งสบายและการเข้าโค้งบนเส้นทางกรุงเทพฯ – ระยอง – พัทยา และนี่คือสิ่งที่ผมได้ค้นพบ

HEV GR SPORT: นักกีฬาผู้ปราดเปรียว

การเริ่มต้นทดสอบด้วยรุ่น GR SPORT ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความแตกต่างที่น่าประทับใจตั้งแต่แรก ผมนั่งในตำแหน่งผู้โดยสารก่อนเพื่อประเมินความสะดวกสบาย และสิ่งที่สัมผัสได้ทันทีคือ “ความแน่นหนึบ” ของช่วงล่าง อาการโคลงเคลงหรือสะเทือนจากพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบถูกจัดการได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ Toyota จะแจ้งว่ารุ่นนี้มีการปรับจูนที่ “แข็งกระด้าง” ที่สุด แต่ในมุมมองของผู้โดยสาร ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันแข็งจนเกินไป กลับกลายเป็นความรู้สึกที่กระชับ มั่นคง และให้ความสบายในระดับที่น่าประหลาดใจสำหรับรถยนต์ขนาดเล็กในกลุ่มนี้

เมื่อสลับมาเป็นผู้ขับขี่ ความประทับใจยิ่งทวีคูณ ช่วงล่างของ GR SPORT มีความกระชับและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว พวงมาลัยถูกปรับจูนมาให้น้ำหนักกำลังดี ไม่เบาหรือหนักจนเกินไป ทำให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างแม่นยำและมั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความเร็วสูง รถยังคงนิ่งและให้ความรู้สึกมั่นคง การเข้าโค้งทำได้นุ่มนวลและควบคุมทิศทางได้ตามสั่ง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ที่สปอร์ตและต้องการรถที่มีสมรรถนะการทรงตัวที่ดีเยี่ยม

แต่สิ่งที่โดดเด่นและสร้างความประหลาดใจให้กับผมมากที่สุดคือ “ชุดแต่งแอโรไดนามิก” ของรุ่น GR SPORT ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงของสวยงาม แต่ในการทดสอบจริง ผมพบว่ามันมีผลต่อพลวัตการขับขี่อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อใช้ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. ชุดแต่งนี้ช่วยเพิ่มแรงกดอากาศ (Downforce) ได้มากถึงประมาณ 30% ส่งผลให้รถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกมั่นคงและนิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ เมื่อคุณขับที่ความเร็ว 120 กม./ชม. ด้วย Yaris ATIV HEV GR SPORT คุณจะรู้สึกผ่อนคลายและมั่นใจ พวงมาลัยนิ่ง ไม่ต้องออกแรงประคองมากนัก ผิดกับรุ่น 1.2 ลิตร ที่ความเร็วเดียวกัน คุณอาจจะรู้สึกกังวลใจและต้องกำพวงมาลัยแน่นขึ้น นี่คือความแตกต่างที่สะท้อนถึงการออกแบบที่พิถีพิถันของ Toyota ที่ไม่ได้มองแค่ความเร็ว แต่ยังมองถึง “ความปลอดภัยและความสบาย” ในการขับขี่ที่ความเร็วสูงด้วย

ในส่วนของอัตราเร่ง Yaris ATIV HEV GR SPORT ไม่ได้โดดเด่นแบบพุ่งทะยานเหมือนรถยนต์สมรรถนะสูง แต่ก็ให้การตอบสนองที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญคือ “ความต่อเนื่อง” ของพละกำลังจากระบบไฮบริดที่ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ และยังคงรักษาหัวใจหลักคือการประหยัดน้ำมัน

HEV Premium: ความนุ่มนวลที่ลงตัวสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

หลังจากสัมผัสความสปอร์ตของ GR SPORT ผมได้สลับมาทดสอบรุ่น Premium ซึ่งมีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในด้านเครื่องยนต์และอัตราเร่งนั้น ให้พละกำลังที่ใกล้เคียงกับรุ่น GR SPORT และยังคงโดดเด่นในเรื่องอัตราสิ้นเปลือง Yaris ATIV ที่ยอดเยี่ยม

แต่จุดแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือ “ช่วงล่าง” ซึ่งถูกปรับจูนมาเพื่อเน้นความนุ่มนวลและสะดวกสบายในการขับขี่ พวงมาลัยมีน้ำหนักเบากว่า ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและคล่องตัวในการขับขี่ในเมืองที่ต้องเลี้ยวและจอดบ่อยครั้ง การซับแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนที่ขรุขระทำได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์คู่ใจสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวัน ที่เน้นความสบาย ไม่รีบร้อน และต้องการความประหยัดเป็นหลัก รุ่น Premium นี้ตอบโจทย์ผู้ที่มองหารถยนต์ซีดานที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและควบคุมง่าย เหมาะสำหรับทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่ต้องการรถยนต์ที่ขับขี่สบาย

เมื่อเปรียบเทียบกับ Yaris ATIV เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แม้รุ่น Premium จะเน้นความนุ่มนวล แต่ก็ยังคงมีความแข็งแกร่งและมั่นคงของช่วงล่างที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน ด้วยโช้คอัพและสปริงที่ได้รับการปรับจูนใหม่ ทำให้การขับขี่มีความแตกต่างกันในด้านคุณภาพการขับขี่ ส่วนในเรื่องพละกำลัง ระบบไฮบริดให้การตอบสนองที่ดีกว่าอย่างแน่นอน ไม่ต้องลุ้น หรือเค้นกำลังเหมือนเครื่องยนต์สันดาปเพียงอย่างเดียว

ความได้เปรียบของระบบไฮบริด: เปิดเผยความประหยัดน้ำมันที่เหนือชั้น

หนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของ Toyota Yaris ATIV HEV คือ “อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง” ที่เป็นเลิศ จากข้อมูลที่เคลมจากโรงงานที่ 29.4 กิโลเมตร/ลิตร นั้นเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจอยู่แล้ว แต่จากการทดสอบในสภาพการขับขี่จริง ผมสามารถทำได้สูงถึง 32 กิโลเมตร/ลิตร เมื่อขับขี่อย่างประหยัด และแม้ในการขับขี่ปกติแบบไม่สนใจตัวเลขมากนัก ก็ยังคงอยู่ที่ราว 24-25 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือว่าทำได้ดีมากๆ และเป็นจุดขายที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์ B-Segment ในตลาดปี 2025 ที่ผู้บริโภคกำลังมองหารถที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง

ระบบไฮบริดของ Toyota ไม่ได้เป็นเพียงแค่การนำมอเตอร์ไฟฟ้ามาเสริมแรง แต่เป็นการทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาดระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการออกตัว การเร่งแซง หรือการขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ ระบบจะเลือกแหล่งพลังงานที่เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติ ช่วยลดการปล่อยมลพิษ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้อย่างยั่งยืน

เหนือกว่าแค่การขับขี่: ความอเนกประสงค์, ความน่าเชื่อถือ, และข้อสังเกตเล็กน้อย

Yaris ATIV HEV ยังคงรักษาจุดเด่นด้านขนาดที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเมือง ด้วยรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดที่ 4.8-5.2 เมตร ทำให้การกลับรถหรือเข้าจอดในพื้นที่จำกัดเป็นเรื่องง่าย และด้วยระยะฐานล้อที่ 2,620 มิลลิเมตร ก็ให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางเกินคาดเมื่อเทียบกับขนาดตัวรถ ทำให้การเดินทางไม่ว่าจะเป็นคนเดียวหรือกับครอบครัวเล็กๆ ก็สะดวกสบาย

นอกจากนี้ เรื่อง “ความน่าเชื่อถือ” และ “ค่าบำรุงรักษาไฮบริด” เป็นสิ่งที่ Toyota ได้พิสูจน์ให้เห็นมานานหลายปี อะไหล่ไม่ต้องรอนาน และศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เจ้าของรถมั่นใจได้ในระยะยาว เพราะความทนทานคือหนึ่งในเหตุผลหลักที่คนไทยเลือกใช้รถยนต์ Toyota

อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่ายังมีบางจุดที่สามารถพัฒนาต่อไปได้ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) หรือ Toyota Safety Sense ที่มีมาให้ใช้งานนั้น ถือเป็นสิ่งที่ดีในการเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังไม่ถึงขั้นที่สามารถไว้วางใจได้ 100% ผู้ขับขี่จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังและไม่ฝากชีวิตไว้กับระบบมากเกินไป ส่วนระบบเครื่องเสียงสำหรับรุ่นท็อปที่ใช้ของ Pioneer นั้น ก็ถือว่าพอฟังได้ แต่หากคุณเป็นนักฟังเพลงตัวยงที่คาดหวังคุณภาพเสียงระดับพรีเมียม ก็อาจจะต้องพิจารณาการอัปเกรดเพิ่มเติม

บทสรุป: เลือก ATIV HEV ที่ใช่ของคุณในปี 2025

โดยสรุปแล้ว Toyota Yaris ATIV HEV ในปี 2025 เป็นรถยนต์ที่ออกมาตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนสำหรับสองรุ่นย่อย เพราะทั้ง HEV Premium และ HEV GR SPORT มีการปรับเซ็ตที่แตกต่างกันราวกับเป็นรถคนละคัน
หากคุณเป็นคนรักความสปอร์ต ชอบการขับขี่ที่กระชับ มั่นคง และต้องการรถที่ให้ความรู้สึกพิเศษในการควบคุม GR SPORT คือตัวเลือกที่ “ใช่” สำหรับคุณ
แต่ถ้าคุณเน้นความนุ่มนวล สะดวกสบายในการเดินทางในชีวิตประจำวัน ประหยัดน้ำมันเป็นหัวใจหลัก และต้องการรถที่ขับขี่ง่าย Premium จะเป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบ

สิ่งที่ทั้งสองรุ่นมีร่วมกันคืออัตราการประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Toyota ในกลุ่มไฮบริดทำได้ดีอยู่แล้ว และไม่ต้องกังวลเรื่องอะไหล่หรือความทนทาน นี่คือรถยนต์ซีดาน B-Segment ที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่คุ้มค่า คุ้มราคา ตอบโจทย์การใช้งานในโลกยุคใหม่ ที่ผสานเอาเทคโนโลยีไฮบริดเข้ากับช่วงล่างที่เหนือชั้นได้อย่างลงตัว

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมั่นใจว่า Toyota Yaris ATIV HEV จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ใหม่ในปี 2025 นี้

อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะได้สัมผัส!
ประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดคือการได้ลองด้วยตัวคุณเอง ผมขอเชิญชวนให้ทุกท่านที่สนใจ Toyota Yaris ATIV HEV ได้เข้าไปเยี่ยมชมและทดลองขับที่โชว์รูม Toyota ใกล้บ้าน เพื่อสัมผัสถึงความแตกต่างและประสิทธิภาพที่ผมได้กล่าวมาด้วยตัวคุณเอง เพราะการเลือกรถยนต์ที่ใช่ ควรเริ่มต้นจากการ “ลองขับ” ที่ตอบโจทย์การใช้งานและสไตล์ชีวิตของคุณอย่างแท้จริง