Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ปี 2025: ยังคงเป็นตำนาน หรือถึงเวลาปรับเปลี่ยน? เจาะลึกจากประสบการณ์ผู้ใช้งานกว่า 10 ปี
ในฐานะที่ผมคลุกคลีอยู่ในวงการรถกระบะมานานกว่าสิบปี ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยีมามากมาย ปี 2025 นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่น่าสนใจสำหรับรถกระบะในประเทศไทย ท่ามกลางกระแสรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดที่ถาโถมเข้ามา ตลาดรถกระบะดีเซลยังคงมีบทบาทสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง วันนี้ผมจะพาคุณไปเจาะลึก Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดตัว ว่ายังคงน่าจับตาและคุ้มค่ากับการลงทุนในปัจจุบันแค่ไหน ด้วยมุมมองที่เน้นการใช้งานจริงและประสบการณ์ตรง เพื่อไขข้อสงสัยที่ว่า “Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE มีดีจริงไหม” ในยุคสมัยที่การแข่งขันดุเดือดกว่าที่เคยเป็นมา
ทิศทางตลาดรถกระบะปี 2025: ความท้าทายและโอกาสของ Isuzu D-Max
ตลาดรถกระบะในประเทศไทยยังคงเป็นหัวใจสำคัญของภาคขนส่งและอุตสาหกรรม และเป็นเพื่อนคู่ใจของหลายครอบครัว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพรวมของตลาดค่อนข้างเงียบเหงาและมีความผันผวนสูง ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบมีหลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น รวมถึงกระแส “รถยนต์ไฟฟ้า” (EV) และ “รถยนต์ไฮบริด” (Hybrid) ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในกลุ่มรถยนต์นั่ง และกำลังจะเข้ามาในตลาดรถกระบะมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายและพิจารณาเรื่อง “อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน” และ “ค่าบำรุงรักษา” อย่างจริงจังมากขึ้น นอกเหนือไปจาก “สมรรถนะเครื่องยนต์” และ “ความทนทาน” เพียงอย่างเดียว
ในสถานการณ์เช่นนี้ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ยืนอยู่บนจุดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยชื่อเสียงของ Isuzu ที่สั่งสมมานานด้านความประหยัด ความทนทาน และค่าบำรุงรักษาที่สมเหตุสมผล การเปิดตัวเครื่องยนต์ใหม่ 2.2 ลิตร ในรุ่น Hi-Lander CAB4 จึงเป็นการตอบโจทย์ผู้ที่มองหารถกระบะที่ให้พละกำลังมากขึ้น แต่ยังคง DNA ความเป็นอีซูซุไว้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม คำถามที่สำคัญคือ ด้วยราคาค่าตัวเริ่มต้นสำหรับ D-Max Hi-Lander 2.2 ZP 8AT ที่ประมาณ 1,064,000 บาท (อ้างอิงราคาเปิดตัว ณ ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องและปรับให้สอดคล้องกับแนวโน้มปี 2025) ในปี 2025 นี้ รถคันนี้ยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งและคุ้มค่าในตลาดรถกระบะที่เต็มไปด้วยทางเลือกใหม่ๆ หรือไม่? ผมจะนำประสบการณ์จริงมาวิเคราะห์ให้คุณได้เห็นภาพชัดเจนที่สุด
มิติภายนอกและภายใน: ความสมดุลของประโยชน์ใช้สอยและความทันสมัย
ในส่วนของมิติตัวถัง Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE ยังคงเอกลักษณ์ของรถกระบะที่เน้นความบึกบึนและใช้งานได้หลากหลาย ด้วยขนาดที่กำลังดีสำหรับการขับขี่ทั้งในเมืองและการเดินทางไกล:
ยาว: 5,265 มิลลิเมตร
กว้าง: 1,870 มิลลิเมตร
สูง: 1,790 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ (Wheelbase): 3,125 มิลลิเมตร
ระยะต่ำสุดถึงพื้น (Ground Clearance): 240 มิลลิเมตร
ขนาดเหล่านี้บ่งบอกถึงความสามารถในการบรรทุกและพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง โดยเฉพาะรุ่น CAB4 ที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบครอบครัว หรือผู้ที่ต้องการพื้นที่เก็บของภายในห้องโดยสาร การออกแบบภายนอกยังคงความทันสมัย ไม่ได้รู้สึกว่าล้าสมัยเมื่อเทียบกับคู่แข่งใน “ตลาดรถกระบะ 2025” ด้วยเส้นสายที่คมชัดและกระจังหน้าที่ดุดัน ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งตามแบบฉบับรถกระบะอีซูซุ ไฟหน้า Bi-LED พร้อม Daytime Running Light (DRL) ที่เป็นเอกลักษณ์ยังคงส่องสว่างนำทางได้อย่างยอดเยี่ยม
ส่วนภายในห้องโดยสาร แม้จะไม่ได้หวือหวาด้วยหน้าจอขนาดใหญ่เท่ารถยุโรปบางรุ่น แต่วัสดุและการออกแบบเน้น “ความทนทาน” และ “ฟังก์ชันการใช้งาน” เป็นหลัก สิ่งเหล่านี้คือหัวใจสำคัญที่ผู้ใช้งานรถกระบะอย่างแท้จริงมองหา ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ จอแสดงข้อมูลการขับขี่ที่อ่านง่าย และช่องเก็บของที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ระบบ Infotainment ที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในยุคดิจิทัล และยังคงให้ประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ราบรื่น ผมมองว่าในเรื่องความเรียบง่ายและเน้นการใช้งานจริง อีซูซุยังคงทำได้ดีและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
หัวใจสำคัญ: สมรรถนะเครื่องยนต์ MAXFORCE 2.2L และระบบส่งกำลัง 8 สปีด
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดของ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE คงหนีไม่พ้น “เครื่องยนต์ดีเซล 2.2” รหัส RZ4F-TC ที่มาพร้อมเทคโนโลยี E-VGS และ Intercooler โดยมีพละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที ซึ่งจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Sequential Shift
จากประสบการณ์ที่ได้ขับทดสอบและใช้งานจริงมาหลายครั้ง โดยเฉพาะกับรถที่ผ่านการใช้งานมาเกือบ 20,000 กิโลเมตร ผมกล้าพูดได้เลยว่าเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรตัวนี้ มี “สมรรถนะเครื่องยนต์” ที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง สิ่งที่รู้สึกได้ทันทีคือ “อัตราเร่งที่ดี” และตอบสนองได้รวดเร็วทันใจกว่าเครื่องยนต์ 1.9 ลิตรอย่างเห็นได้ชัด การเร่งแซงทั้งในเมืองและนอกเมืองทำได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องลุ้นมากเหมือนแต่ก่อน การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งหรือการไต่ความเร็วในช่วงกลางๆ ทำได้ไหลลื่นและมีพละกำลังสำรองให้ใช้งานอยู่เสมอ
ส่วน “เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ” ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ไปอีกขั้น การเปลี่ยนเกียร์ทำได้นุ่มนวลและต่อเนื่องมากขึ้น โดยเฉพาะในการขับขี่ทางไกลที่ใช้ความเร็วคงที่ เกียร์ทำงานได้อย่างราบรื่น ช่วยลดอาการกระตุกและเพิ่มความสบายในการเดินทาง อย่างไรก็ตาม ใน “การขับขี่ในเมือง” หรือช่วงความเร็วต่ำมากๆ ที่มีการเร่งและเบรกบ่อยครั้ง ก็ยังคงมีจังหวะที่เกียร์เปลี่ยนแล้วมีอาการกระตุกให้รู้สึกได้บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้ในเกียร์อัตโนมัติหลายรุ่น แต่โดยรวมแล้วถือว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้และไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันมากนัก
สำหรับ “อัตราสิ้นเปลือง D-Max 2.2” ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่อีซูซุยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม จากการทดสอบใช้งานจริงในเส้นทางผสมผสานทั้งในเมืองและนอกเมือง การเดินทางไกล และการใช้ความเร็วต่างๆ ผมทำได้เฉลี่ยที่ประมาณ 14.4 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจอย่างยิ่งสำหรับรถกระบะขนาดนี้ และยังคงเป็น “รถกระบะประหยัดน้ำมัน” ที่น่าสนใจในยุคที่ราคาน้ำมันยังคงผันผวน การรองรับน้ำมันดีเซล B20 ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าของรถได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ระบบ DPF (Diesel Particulate Filter Regeneration) ก็ทำงานได้ดี ช่วยจัดการเรื่องเขม่าไอเสีย และรักษามาตรฐานการปล่อยมลพิษให้สอดคล้องกับข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นในปี 2025
ช่วงล่าง: นุ่มนวลเพื่อการใช้งานหลากหลาย หรือต้องการความมั่นคงที่มากกว่า?
เรื่อง “ช่วงล่าง Isuzu” เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันมาโดยตลอด และในรุ่น Hi-Lander CAB4 MAXFORCE นี้ก็ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งที่ผมสัมผัสได้จากการใช้งานคือช่วงล่างของอีซูซุยังคงเน้นไปที่ “ความนุ่มนวล” และ “ความสบายในการขับขี่” โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ในความเร็วต่ำหรือผ่านเส้นทางขรุขระ รถจะให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างนุ่มนวลและไม่กระด้างมากนัก ทำให้การเดินทางในชีวิตประจำวัน หรือการใช้งานแบบครอบครัวเป็นไปอย่างผ่อนคลาย
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับคู่แข่งบางรายในตลาด “เปรียบเทียบรถกระบะ” ที่เน้นความสปอร์ตและสมรรถนะการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ผมต้องยอมรับว่าช่วงล่างของอีซูซุยังคงมีลักษณะที่ออกแนวนุ่มและมีอาการ “เด้ง” หรือ “ลอยๆ” บ้างเล็กน้อยเมื่อใช้ความเร็วสูงมากๆ หรือเมื่อต้องเปลี่ยนเลนกระทันหัน ซึ่งอาจจะต้องใช้ทักษะการควบคุมรถที่ดีขึ้นเล็กน้อย หากคุณเป็นผู้ที่ชอบการขับขี่ด้วยความเร็วสูงและต้องการความมั่นคงแบบเกาะถนนเป็นพิเศษ อาจจะรู้สึกว่าช่วงล่างเดิมๆ ยังไม่ตอบโจทย์ แต่สำหรับผู้ที่ขับขี่รถกระบะเป็นประจำและเน้นการใช้งานแบบสบายๆ ไม่ได้เน้นการขับขี่แบบสปอร์ต การเซ็ตอัพช่วงล่างแบบนี้ถือว่า “รับได้” และเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การขับขี่อีซูซุที่หลายคนคุ้นเคย
สิ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามและเป็น “จุดแข็ง” ที่สำคัญของอีซูซุในระยะยาวคือ “ค่าอะไหล่รถยนต์” และ “ค่าบำรุงรักษารถยนต์” ที่ “ถูกมาก” เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด ยกตัวอย่างเช่น โช้คอัพทั้ง 4 ต้น หากต้องการเปลี่ยนก็มีราคาไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการดูแลรักษาที่ไม่เป็นภาระหนักสำหรับเจ้าของรถ นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้อีซูซุยังคงเป็น “รถกระบะยอดนิยม” และเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการรถใช้งานที่ “คุ้มค่า” ในระยะยาว เพราะการซ่อมบำรุงและดูแลรักษานั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และการที่ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่สูง ย่อมช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้มาก
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ ADAS: ก้าวที่กล้าหาญที่ยังต้องการการปรับปรุง
ในยุคปี 2025 “เทคโนโลยีความปลอดภัยรถยนต์” และ “ระบบ ADAS” (Advanced Driver Assistance Systems) ถือเป็นมาตรฐานสำคัญที่ผู้บริโภคมองหา Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE ได้มีการนำนวัตกรรม “กล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera” เข้ามาใช้ เพื่อรองรับระบบช่วยเหลือต่างๆ เช่น ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning) และระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Autobrake) ซึ่งถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยให้ทัดเทียมกับคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม จากการใช้งานจริงของผม ต้องยอมรับว่าระบบ ADAS ของอีซูซุในปัจจุบันยังคงมีจุดที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาระบบให้มีความเหมาะสมกับ “สภาพการจราจรเมืองไทย” มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของความไวในการตรวจจับและตอบสนอง ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนพร้อมเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ บางครั้งก็ทำงานเกินความจำเป็น เช่น เบรกรถเองอย่างรุนแรง ทั้งที่รถคันหน้ายังไม่ได้หยุดนิ่ง หรือมีรถจักรยานยนต์ตัดหน้าในระยะที่ยังปลอดภัย ทำให้เกิดความตกใจและอาจเป็นอันตรายต่อรถคันหลังได้ ยิ่งในสภาวะการจราจรที่หนาแน่นและมีรถตัดหน้าอยู่ตลอดเวลา การตั้งค่าความไวของระบบจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ทำให้ในบางสถานการณ์ ผู้ใช้งานจำเป็นต้อง “ปิดระบบ” นี้ไป เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยที่มากขึ้น
นี่คือความท้าทายที่ผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่ายต้องเผชิญในการปรับจูนเทคโนโลยีระดับโลกให้เข้ากับบริบทการใช้งานในแต่ละประเทศ ผมเชื่อว่าอีซูซุจะยังคงพัฒนาและปรับปรุงระบบเหล่านี้ให้มีความฉลาดและแม่นยำมากยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างเต็มที่และไร้กังวล
ประสบการณ์การเป็นเจ้าของ: ความน่าเชื่อถือและการใช้งานที่ยั่งยืน
จากประสบการณ์ที่ยาวนาน ผมสามารถยืนยันได้ว่า Isuzu ยังคงเป็นแบรนด์ที่โดดเด่นในเรื่องของ “ความน่าเชื่อถือ” และ “ความทนทาน” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE เป็น “รถกระบะใช้งานดี” ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในชีวิตประจำวัน การเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัว หรือการขนส่งสินค้าเบาๆ เครื่องยนต์ 2.2 ลิตรใหม่นี้ ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ แม้จะมีการใช้งานมาแล้วเกือบสองหมื่นกิโลเมตร ก็ยังคงรักษามาตรฐานและสมรรถนะไว้อย่างดีเยี่ยม
“รถกระบะครอบครัว” คันนี้มอบความคุ้มค่าในระยะยาวอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่ราคาเริ่มต้นที่เหมาะสม แต่ยังรวมถึง “ต้นทุนการเป็นเจ้าของ” ที่ต่ำ ทั้งในเรื่องของ “อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน” และ “ค่าบำรุงรักษา” ที่ผมได้กล่าวไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถกระบะที่ใช้งานได้จริง ไม่จุกจิก และไม่เป็นภาระทางการเงินในระยะยาว ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งใน “ตลาดรถกระบะ 2025” ที่ผู้บริโภคฉลาดเลือกและพิจารณาอย่างรอบคอบ
บทสรุป: Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ปี 2025 คุ้มค่าหรือไม่?
หลังจากที่ได้เจาะลึกและแบ่งปันประสบการณ์การใช้งาน Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ผมกล้าพูดได้ว่า แม้ตลาดรถกระบะในปี 2025 จะมีความท้าทายและเต็มไปด้วยตัวเลือกใหม่ๆ แต่ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE ยังคงเป็น “รถกระบะที่น่าสนใจ” และ “คุ้มค่ากับการลงทุน” สำหรับกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการรถกระบะอเนกประสงค์ที่เน้นความ “ประหยัดน้ำมัน” มี “อัตราเร่งที่ดี” และที่สำคัญคือ “ดูแลรักษาง่าย” ด้วย “ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ต่ำ” อันเป็นเอกลักษณ์ของอีซูซุที่ไม่มีใครเทียบได้
เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ถือเป็นการอัปเกรดที่สำคัญที่ทำให้อีซูซุ ดีแม็กซ์ มีพละกำลังเพียงพอที่จะตอบสนองการขับขี่ในทุกสถานการณ์ ทั้งในเมืองและนอกเมือง แม้ช่วงล่างอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกสปอร์ตเหมือนคู่แข่งบางราย แต่ก็ให้ความนุ่มนวลและสบายในการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายครอบครัวมองหา ส่วนระบบ ADAS ที่แม้จะยังต้องมีการปรับจูนให้เข้ากับสภาพการจราจรไทยมากขึ้น ก็ยังคงเป็นความพยายามที่ดีในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย
โดยรวมแล้ว หากคุณกำลังมองหา “รถกระบะราคาดี” ที่มาพร้อมความ “ทนทาน” และ “ความน่าเชื่อถือ” ในฐานะเพื่อนคู่ใจสำหรับการทำงานและชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น “รถกระบะใช้งานหนัก” หรือ “รถกระบะเพื่อครอบครัว” ที่เน้น “ความประหยัด” และ “ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของที่ต่ำ” Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ปี 2025 ยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งและน่าพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
พร้อมพิสูจน์ความคุ้มค่าด้วยตัวคุณเองแล้วหรือยัง?
หากคุณกำลังมองหา “รถปิกอัพใหม่ล่าสุด” ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ความประหยัดที่เป็นเลิศ และต้นทุนการเป็นเจ้าของที่คุ้มค่า ผมขอแนะนำให้คุณสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ด้วยตัวคุณเองที่โชว์รูมอีซูซุใกล้บ้านคุณวันนี้ ลองขับ เพื่อสัมผัสถึงพละกำลัง ความนุ่มนวล และเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนามาเพื่อคุณ แล้วคุณจะพบว่าทำไม Isuzu D-Max จึงยังคงเป็นตำนานที่ไม่เคยจางหายไปจากใจคนไทย
![[ครบชุด] 3010193 ตอนนี้ฉันไม่บริสุทธิ์แล้วคุณยังจะแต่งงานกับฉันไหม](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-455-1.png)
![[ครบชุด] 1010261 งูเห่ามันเลี้ยงไม่เชื่อง หลง รักแฟนเพจ](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-456-1.png)