บทวิจารณ์ภาพยนตร์ที่กำลังจะมาถึง
ค่าเสียหายส่วนแรก ประกันรถ: คลายความสับสน Excess vs. Deductible พร้อมวิธีจัดการและประหยัดเบี้ย
by admin
การทำประกันภัยรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน เพื่อเป็นหลักประกันความคุ้มครองเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่ศัพท์เฉพาะทางประกันภัยหลายคำอาจทำให้ผู้เอาประกันสับสน โดยเฉพาะเรื่องของ “ค่าเสียหายส่วนแรก” ซึ่งประกอบด้วย “ค่า Excess” และ “ค่า Deductible” ที่หลายคนยังไม่เข้าใจความแตกต่างและเงื่อนไขการจ่ายอย่างถ่องแท้ การทำความเข้าใจค่าใช้จ่ายส่วนนี้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสม และเลือกแผนประกันที่คุ้มค่ากับพฤติกรรมการขับขี่ของคุณได้ดีที่สุด
ไขข้อข้องใจ: ค่า Excess และ ค่า Deductible คืออะไร ต่างกันอย่างไร?
แม้จะเรียกว่า “ค่าเสียหายส่วนแรก” เหมือนกัน แต่ ค่า Excess (ค่าเอ็กเซส) และ ค่า Deductible (ค่าดีดักทิเบิล) มีที่มาและเงื่อนไขการเรียกเก็บที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งผู้เอาประกันควรทราบ
- ค่า Deductible (ค่าดีดัก): เป็นค่าเสียหายส่วนแรก ภาคสมัครใจ เกิดขึ้นเมื่อผู้เอาประกัน เลือก ซื้อแผนประกันที่มีเงื่อนไขนี้ เพื่อแลกกับส่วนลดค่าเบี้ยประกันที่ถูกลง จำนวนเงิน Deductible จะระบุไว้ชัดเจนในกรมธรรม์ ผู้เอาประกันจะต้องจ่ายค่า Deductible ตามที่ตกลงไว้เมื่อเป็นฝ่ายผิดในอุบัติเหตุที่ต้องเคลมประกัน
- ค่า Excess (ค่าเอ็กเซส): เป็นค่าเสียหายส่วนแรก ภาคบังคับ กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งบริษัทประกันจะเรียกเก็บเมื่อเกิดความเสียหายกับรถ โดยมีเงื่อนไขตามที่ คปภ. กำหนดไว้ ไม่ได้ระบุจำนวนเงินในกรมธรรม์เหมือนค่า Deductible แต่เป็นข้อกำหนดมาตรฐานที่ใช้ทั่วไป
การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างค่า Deductible (ส่วนลดค่าเบี้ยที่เลือกได้) และค่า Excess (เงื่อนไขบังคับในบางกรณี) เป็นก้าวแรกสู่การจัดการประกันภัยรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ต้องจ่ายค่า Excess ในกรณีไหนบ้าง?
แม้ค่า Excess จะเป็นภาคบังคับ แต่มีหลายสถานการณ์ที่ผู้เอาประกันไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการที่สามารถระบุคู่กรณี หรือสาเหตุความเสียหายได้อย่างชัดเจน
- รถยนต์ชนกับยานพาหนะอื่น และสามารถแจ้งรายละเอียดของคู่กรณีได้อย่างชัดเจน
- รถยนต์ชนกับวัตถุที่ยึดติดกับพื้นดินอย่างแน่นหนา เช่น เสาไฟฟ้า ต้นไม้ เสา รั้ว กำแพง ฟุตบาท ราวสะพาน หรือป้ายจราจร
- รถยนต์ชนกับคน หรือสัตว์เลี้ยง (เช่น สุนัข)
- รถยนต์พลิกคว่ำโดยไม่มีการชนกับวัตถุอื่นก่อน
- รถยนต์ชนกับกองดิน หรือหน้าผา
การแจ้งเหตุการณ์ให้บริษัทประกันทราบโดยเร็ว พร้อมระบุรายละเอียดที่ชัดเจน เช่น วันเวลา สถานที่ และลักษณะของอุบัติเหตุ จะช่วยให้บริษัทประกันพิจารณาการยกเว้นค่า Excess ได้
ต้องจ่ายค่า Excess เมื่อไหร่?
บริษัทประกันจะเรียกเก็บค่า Excess ในกรณีที่ไม่สามารถระบุสาเหตุ หรือคู่กรณีได้อย่างชัดเจน หรือเป็นความเสียหายบางประเภท เพื่อลดความเสี่ยงจากการเคลมความเสียหายเล็กน้อย หรือการเคลมที่ไม่สามารถตรวจสอบที่มาได้
- ความเสียหายเกิดขึ้นโดยไม่มีคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะอื่น หรือมีแต่ไม่สามารถระบุรายละเอียดคู่กรณีได้
- ความเสียหายเกิดจากการกระทบกับวัตถุ แต่ไม่ใช่การชนหรือพลิกคว่ำในลักษณะที่ระบุคู่กรณีได้
- ไม่สามารถแจ้งสาเหตุและที่มาที่ไปของความเสียหายได้อย่างชัดเจน เช่น รอยขีดข่วนที่ไม่ทราบแหล่งที่มา
- รถได้รับความเสียหายเฉพาะพื้นผิวสีรถเท่านั้น (เมื่อลูบแล้วไม่รู้สึกถึงรอยที่ลึก)
- การเคลมความเสียหายแบบเคลมแห้ง หรือเคลมรอบคันโดยไม่มีอุบัติเหตุจริงที่เกิดขึ้นและระบุสาเหตุได้
หากคุณขับรถผ่านจุดก่อสร้างแล้วมีวัสดุ (เช่น ก้อนหิน) หล่นใส่รถและเกิดความเสียหาย หากคุณสามารถระบุแหล่งที่มาของวัสดุนั้นได้และคู่กรณี (ผู้รับเหมา) ยอมรับผิด คุณจะไม่ต้องจ่ายค่า Excess แต่หากไม่สามารถระบุที่มาได้ หรือความเสียหายเป็นเพียงรอยขีดข่วนบนพื้นผิวสี คุณอาจต้องจ่ายค่า Excess ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์และการพิจารณาของบริษัท
การเคลมก่อนหมดประกันและผลต่อการต่ออายุ
คุณสามารถใช้สิทธิ์เคลมประกันกับบริษัทเดิมได้จนถึงวันสุดท้ายที่ระบุในกรมธรรม์ “ใบเคลม” หรือ “ใบรับรองความเสียหาย” ที่บริษัทออกให้ มีอายุ 2 ปี นับจากวันที่ออกใบเคลม คุณสามารถนำรถเข้าซ่อมภายหลังได้ภายในอายุใบเคลม แม้ว่ากรมธรรม์จะหมดอายุแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทิ้งไว้นาน เพราะหากความเสียหายลุกลามจากจุดที่เคลม บริษัทประกันอาจไม่คุ้มครองส่วนที่เพิ่มขึ้น
ประวัติการเคลมมีผลต่อเบี้ยประกันในปีถัดไป หากมีการเคลมหลายครั้ง โดยเฉพาะการเป็นฝ่ายผิด อาจส่งผลให้เบี้ยประกันสูงขึ้นได้ หากคุณมีประวัติเคลมและต้องการเปลี่ยนบริษัทประกัน ควรเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์จากหลายๆ ที่ และทำความเข้าใจเงื่อนไขเรื่องค่า Deductible และ Excess ของบริษัทใหม่ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ
เลือกแผนประกันแบบไหนดี: มี Deductible หรือไม่มี?
การตัดสินใจเลือกแผนประกันที่มีหรือไม่มีค่า Deductible ควรพิจารณาจากพฤติกรรมการขับขี่และความถี่ในการใช้รถของคุณ
- เหมาะกับแผนที่มี Deductible: หากคุณเป็นผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์ มีวินัย ประวัติเคลมน้อย และมั่นใจว่าขับขี่ปลอดภัย ไม่ค่อยเกิดอุบัติเหตุ หรือส่วนใหญ่มักไม่เป็นฝ่ายผิด การเลือกแผนที่มี Deductible จะช่วยให้เบี้ยประกันรายปีถูกลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นการประหยัดที่คุ้มค่า
- เหมาะกับแผนที่ไม่มี Deductible หรือมี Deductible ต่ำ: หากคุณเป็นผู้ขับขี่มือใหม่ ยังขาดความชำนาญ หรือมีประวัติการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง การเลือกแผนที่ไม่มีหรือมี Deductible ต่ำ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายก้อนแรกเมื่อต้องเคลม แม้