ชนแล้วหนี: คู่มือรับมือทุกสถานการณ์ พร้อมเปิดข้อกฎหมายและประกันภัยรถยนต์ที่ควรรู้
by admin

ภาพกราฟิกแสดงถึงอันตรายจากอุบัติเหตุและการชนแล้วหนี พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของประกันภัยรถยนต์
เหตุการณ์ไม่คาดฝันบนท้องถนนอย่าง “ชนแล้วหนี” สร้างความเสียหายและความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างมาก ไม่ว่าคุณจะขับรถด้วยความระมัดระวังเพียงใด อุบัติเหตุก็ยังคงเกิดขึ้นได้เสมอ และสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดประการหนึ่งคือการถูกคู่กรณีขับรถชนแล้วหลบหนีไป หรือในทางกลับกัน การที่คุณเองเป็นฝ่ายที่ขับรถไปชนคู่กรณีและตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจตัดสินใจผิดพลาดโดยการหลบหนีบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงวิธีการรับมือกับเหตุการณ์ชนแล้วหนีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความคุ้มครองของประกันภัยรถยนต์
ภาพกราฟิกแสดงถึงอันตรายจากอุบัติเหตุและการชนแล้วหนี พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของประกันภัยรถยนต์
หากรถของคุณถูกชนแล้วหนี: การรับมือในฐานะผู้เสียหาย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่รถของคุณถูกชนโดยที่คู่กรณีหลบหนีไป สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งสติและดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อรักษาสิทธิ์และผลประโยชน์ของคุณในฐานะผู้เสียหาย
ประการแรก ให้รีบตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของคุณ และพยายามรวบรวมข้อมูลของคู่กรณีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น หมายเลขทะเบียนรถ สี รุ่น หรือลักษณะเด่นอื่นๆ หากมีพยานในเหตุการณ์ หรือบริเวณดังกล่าวมีกล้องวงจรปิด ให้ขอความช่วยเหลือจากพยาน หรือตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด นอกจากนี้ หากรถของคุณติดตั้งกล้องติดรถยนต์ ข้อมูลจากกล้องจะเป็นหลักฐานสำคัญอย่างยิ่ง
หลังจากรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นแล้ว ให้รีบแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ จุดเกิดเหตุ หรือสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานสำหรับการดำเนินการต่อไป
ในส่วนของความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์นั้น จะขึ้นอยู่กับประเภทของกรมธรรม์ที่คุณทำไว้
- ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1: ให้ความคุ้มครองสูงสุด ครอบคลุมความเสียหายต่อรถของคุณในกรณีชนแล้วหนี แม้จะไม่ทราบข้อมูลคู่กรณี ขอเพียงคุณมีหลักฐานการแจ้งความกับตำรวจ
- ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+: ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันในกรณีรถชนรถ โดยจะต้องระบุคู่กรณีได้ (ทราบหมายเลขทะเบียน) หากไม่ทราบทะเบียน คุณจะต้องสืบหาจากกล้องวงจรปิดหรือพยานให้ได้
- ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 และ 3: โดยทั่วไปจะไม่คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันในกรณีชนแล้วหนีที่ไม่ทราบคู่กรณี
เลือกแผนประกันรถยนต์ที่เหมาะกับคุณเพื่อความคุ้มครองที่อุ่นใจในทุกสถานการณ์
หากคุณเป็นฝ่ายขับรถชน: สิ่งที่ต้องทำ (และห้ามทำเด็ดขาด)
ในทางกลับกัน หากคุณเป็นฝ่ายที่ขับรถไปชนรถคันอื่น หรือชนคน แล้วเกิดความกลัวหรือตกใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ห้ามหนีเด็ดขาด” การหลบหนีจากที่เกิดเหตุจะนำมาซึ่งผลเสียที่ร้ายแรงกว่าการหยุดและแสดงความรับผิดชอบอย่างมาก
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ คุณควรหยุดรถทันที ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยหากมีผู้บาดเจ็บ และแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ จุดเกิดเหตุ การไม่หยุดรถและแสดงตัว ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
ภาพประกอบแสดงถึงกระบวนการหลังเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ การติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือการจัดการเรื่องกฎหมาย
ผลทางกฎหมายหากขับรถชนแล้วหนี
การชนแล้วหนีมีความผิดตามกฎหมายอย่างชัดเจน พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 บัญญัติว่า “ผู้ใดขับรถในทางสาธารณะโดยไม่หยุดรถ ให้ความช่วยเหลือ หรือแสดงตัวต่อเจ้าพนักงาน ณ ที่เกิดเหตุ หากรถนั้นได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิด และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยึดรถคันที่หลบหนีได้…” หากไม่แสดงตัวภายในหกเดือนนับแต่วันเกิดเหตุ รถอาจตกเป็นของรัฐได้
นอกจากนี้ การชนแล้วหนียังอาจถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอุบัติเหตุ:
- หากมีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย: อาจเข้าข่ายความผิดลหุโทษ
- หากมีผู้บาดเจ็บสาหัส: มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- หากมีผู้เสียชีวิต: มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การหลบหนีแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่จะไม่รับผิดชอบ ซึ่งจะถูกพิจารณาว่าเป็นพฤติกรรมที่ทำให้บทลงโทษรุนแรงขึ้น ดังนั้น การหยุดรถ แสดงตัว และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเสมอ
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติจราจรทางบก