ไขข้อข้องใจ “ค่าเสียหายส่วนแรก” ในประกันรถยนต์: ตัวช่วยลดเบี้ยและประวัติดีที่คุณควรรู้
by admin

ภาพประกอบแสดงแนวคิดค่าเสียหายส่วนแรกประกันรถยนต์กับการแบ่งความรับผิดชอบค่าซ่อม
ตลาดประกันภัยรถยนต์ในประเทศไทยมีความน่าสนใจตรงที่ กรมธรรม์จำนวนไม่น้อยไม่ได้ระบุ “ค่าเสียหายส่วนแรก” ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศทั่วโลก แต่การไม่มีค่าเสียหายส่วนแรกนี้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้เอาประกันเสมอไป ทั้งในแง่ของเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย และในแง่ของพฤติกรรมการขับขี่บนท้องถนน
ทำความเข้าใจ “ค่าเสียหายส่วนแรก” ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
ค่าเสียหายส่วนแรก หรือที่บางครั้งเรียกว่า Deductible คือ จำนวนเงินที่คุณ ในฐานะผู้เอาประกัน จะต้องจ่ายเองก่อนเป็นลำดับแรก เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่คุณเป็นฝ่ายผิด หรือเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี เช่น ขับรถชนกำแพง รั้ว เสาไฟฟ้า หรือเกิดรอยขีดข่วนโดยไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้รถเสียหาย ส่วนที่เหลือจากค่าเสียหายส่วนแรก บริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
ภาพประกอบแสดงแนวคิดค่าเสียหายส่วนแรกประกันรถยนต์กับการแบ่งความรับผิดชอบค่าซ่อม
แต่หากคุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิดในอุบัติเหตุนั้นๆ คุณก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเสียหายส่วนแรกนี้เลย เพราะบริษัทประกันจะไปเรียกเก็บค่าเสียหายทั้งหมดจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิดเอง ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการเคลมประกันภัยรถยนต์
ยกตัวอย่างง่ายๆ หากกรมธรรม์ของคุณมีค่าเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท และเกิดอุบัติเหตุที่คุณเป็นฝ่ายผิด ทำให้รถต้องซ่อมเป็นเงิน 12,000 บาท คุณจะต้องจ่ายค่าซ่อมในส่วนแรก 5,000 บาทเอง ส่วนอีก 7,000 บาทที่เหลือ บริษัทประกันจะเป็นผู้จ่าย แต่ถ้าหากค่าซ่อมความเสียหายเล็กน้อยนั้นมีมูลค่าเพียง 3,000 บาท ซึ่งน้อยกว่าค่าเสียหายส่วนแรก คุณอาจเลือกที่จะจ่ายเองโดยตรงกับอู่ เพื่อไม่ให้มีการเคลมเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อประวัติการขับขี่และการรับส่วนลดเบี้ยประกันในปีต่ออายุ
ผลกระทบของการไม่ระบุค่าเสียหายส่วนแรก
หลายคนอาจมองว่ากรมธรรม์ที่ไม่มีค่าเสียหายส่วนแรกนั้นสะดวก เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน บริษัทประกันก็ดูแลค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคือ ต้นทุนการบริหารจัดการที่สูงมากจากการเคลมความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เช่น ค่าสำรวจภัย ค่าดำเนินการเอกสารต่างๆ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึงหลักพันบาทต่อการเคลมหนึ่งครั้ง แม้ว่าค่าซ่อมจริงอาจไม่มากนัก ต้นทุนเหล่านี้ล้วนถูกนำไปคำนวณรวมอยู่ในเบี้ยประกันรถยนต์ที่คุณและผู้เอาประกันคนอื่นๆ ต้องจ่ายนั่นเอง
ค่าเสียหายส่วนแรก: ตัวช่วยลดเบี้ยประกันรถยนต์และรักษาประวัติดี
การเลือกทำประกันรถยนต์โดยระบุค่าเสียหายส่วนแรก มักจะส่งผลให้เบี้ยประกันที่คุณต้องจ่าย “ลดลง” อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากคุณได้แสดงเจตนาที่จะร่วมรับความเสี่ยงในส่วนต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่คุณเป็นฝ่ายผิด บริษัทประกันจึงสามารถเสนอเบี้ยที่ถูกลงได้
นอกจากนี้ หากคุณมีค่าเสียหายส่วนแรกในกรมธรรม์ คุณจะได้รับแรงจูงใจให้ขับขี่อย่างระมัดระวังมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเมื่อเกิดเหตุ และสำหรับความเสียหายเล็กน้อยที่ไม่คุ้มกับการเคลม การเลือกจ่ายเองจะช่วยให้ประวัติการเคลมของคุณยังคง “ดีเยี่ยม” ทำให้คุณได้รับส่วนลดประวัติดี (No Claim Bonus) ในการต่ออายุประกัน ซึ่งยิ่งช่วยให้เบี้ยประกันของคุณถูกลงไปอีกชั้นหนึ่ง
ใครคือผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง?
เหตุผลหนึ่งที่ประกันรถยนต์แบบไม่ระบุค่าเสียหายส่วนแรกยังคงแพร่หลายในไทย มาจากโครงสร้างค่าตอบแทนของตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัย ซึ่งโดยทั่วไปจะได้รับค่าคอมมิชชั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ของเบี้ยประกันภัย ยิ่งเบี้ยประกันสูง ตัวแทน/นายหน้าก็ยิ่งได้รับค่าตอบแทนมาก ดังนั้น กรมธรรม์ที่ไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก ซึ่งมีเบี้ยสูงกว่า มักจะถูกนำเสนอเป็นทางเลือกแรกๆ แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ช่วยให้ผู้เอาประกันประหยัดเงินในระยะยาว
ตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายประกันรถยนต์แบบมีค่าเสียหายส่วนแรกและไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่า
จากข้อมูลและการคำนวณโดยประมาณ การเลือกรับค่าเสียหายส่วนแรกไว้ที่ระดับหนึ่ง เช่น 5,000 บาท อาจช่วยให้คุณประหยัดเบี้ยประกันต่อปีได้หลายพันบาท แม้จะต้องจ่ายเงินก้อนแรกเมื่อเกิดเหตุ แต่หากรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ผู้เอาประกันส่วนใหญ่ก็ยังคงได้ประโยชน์มากกว่า เมื่อเทียบกับการจ่ายเบี้ยประกันที่สูงกว่าทุกปีโดยไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก
ประกันรถยนต์ที่มีค่าเสียหายส่วนแรก ดีต่อสังคมอย่างไร?
ประโยชน์ของการมีค่าเสียหายส่วนแรกไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวผู้เอาประกันเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสังคมโดยรวม มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ผู้ขับขี่ที่ทำประกันโดยมีค่าเสียหายส่วนแรก มีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก เพราะพวกเขามีภาระทางการเงินที่ต้องรับผิดชอบในส่วนต้นเมื่อเกิดเหตุ ทำให้ขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น
การขับขี่ที่รอบคอบและลดความเสี่ยง นำไปสู่การลดจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยรวม ซึ่งส่งผลดีต่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน นอกจากนี้ การลดจำนวนการเคลมควา