- ประกันบ้าน ประเภทอัคคีภัย
นี่คือประกันภัยพื้นฐานที่คุ้มครองความเสียหายจากไฟไหม้, ฟ้าผ่า (รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหาย), การระเบิด, ภัยจากยานพาหนะ และ ภัยจากอากาศยาน บางกรมธรรม์อาจขยายความคุ้มครองถึงภัยจากการจลาจล (แต่ไม่รวมภัยก่อการร้าย) ประกันรูปแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองหลักจากเหตุการณ์ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อบ้านและทรัพย์สิน - ประกันบ้าน ประเภทโจรกรรม
ประกันประเภทนี้จะให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ รวมถึงความเสียหายต่อตัวบ้านที่เกิดจากการบุกรุกเพื่อการโจรกรรม เช่น ประตู หน้าต่างที่เสียหายจากการงัดแงะ ซึ่งเงื่อนไขและวงเงินคุ้มครองทรัพย์สินภายในบ้านจะถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในกรมธรรม์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอุ่นใจจากความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของทรัพย์สิน - ประกันบ้าน ประเภทภัยพิบัติ
ประกันประเภทนี้จะครอบคลุมความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ระบุไว้ในกรมธรรม์อย่างชัดเจน เช่น น้ำท่วม, แผ่นดินไหว, ลมพายุ, ลูกเห็บ และภูเขาไฟระเบิด (ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเน้นน้ำท่วม แผ่นดินไหว และลมพายุ) โดยมักมีการกำหนดวงเงินความคุ้มครองสำหรับแต่ละภัยพิบัติไว้โดยเฉพาะ ซึ่งแผนประกันนี้อาจเป็นส่วนเพิ่มเติมจากประกันอัคคีภัย หรือเป็นแผนที่แยกออกมาโดยเฉพาะเลยก็ได้ เป็นแผนประกันที่เหมาะสำหรับบ้านที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ - ประกันบ้าน ประเภทวงเงินสินเชื่อ (MRTA/MLTA)
ประกันนี้ไม่ใช่ประกันบ้านโดยตรง แต่เป็นประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Reducing Term Assurance – MRTA หรือ Mortgage Level Term Assurance – MLTA) ซึ่งผู้กู้ทำกับธนาคารที่ให้สินเชื่อบ้าน เพื่อคุ้มครองภาระหนี้สินเชื่อบ้าน หากผู้กู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง บริษัทประกันจะจ่ายเงินต้นคงเหลือให้กับธนาคาร ทำให้ภาระหนี้ไม่ตกเป็นของทายาท แม้จะไม่ได้คุ้มครองตัวบ้าน แต่เป็นการคุ้มครองภาระทางการเงินที่ผูกติดกับบ้าน เหมาะสำหรับผู้ที่กู้ซื้อบ้านและต้องการสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัว
อ่านข้อควรรู้ก่อนทำ ประกัน mrta เพิ่มเติม - ให้คุ้มครองความเสียหายต่อตัวบ้านและโครงสร้างอาคาร เช่น ผนัง หลังคา พื้น ประตู หน้าต่าง ที่เกิดจากภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม, แผ่นดินไหว, ลมพายุ, ไฟไหม้, ฟ้าผ่า) หรือภัยอื่น ๆ ตามที่ระบุในกรมธรรม์
- คุ้มครองความเสียหายหรือการสูญหายของเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า และทรัพย์สินส่วนตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในบ้าน ซึ่งเกิดจากภัยที่ระบุในกรมธรรม์ เช่น ไฟไหม้, โจรกรรม
- ครอบคลุมความเสียหายจากเหตุการณ์ธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้, ฟ้าผ่า, แผ่นดินไหว, ลมพายุ, น้ำท่วม, ภูเขาไฟระเบิด และสึนามิ (อาจมีเงื่อนไขและวงเงินจำกัดแตกต่างกันไปในแต่ละกรมธรรม์)
- คุ้มครองความเสียหายหรือสูญหายของทรัพย์สินภายในบ้านอันเนื่องมาจากการถูกงัดแงะ ลักทรัพย์ หรือโจรกรรม รวมถึงความเสียหายต่อตัวอาคารที่เกิดจากการกระทำดังกล่าว (แต่ทั้งนี้อาจมีเงื่อนไขเรื่องการแจ้งความและหลักฐานที่ต้องดำเนินการตาม)
- คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอกที่มาเยี่ยมบ้าน หรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอกที่เกิดจากเหตุการณ์ภายในบ้านของเรา เช่น มีคนลื่นล้มบาดเจ็บในบ้าน หรือต้นไม้ในบ้านล้มทับรถข้างบ้าน
- บางกรมธรรม์อาจคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการเช่าที่พักชั่วคราว หากบ้านได้รับความเสียหายจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ และต้องใช้เวลาในการซ่อมแซม
- คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากน้ำ เช่น ท่อน้ำแตก น้ำรั่วซึม (ยกเว้นความเสียหายที่เกิดจากการละเลยการบำรุงรักษา)
- บางกรมธรรม์อาจขยายความคุ้มครองไปถึงความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของผู้ก่อการร้าย (แต่ส่วนใหญ่มักเป็นความคุ้มครองเสริมที่ต้องซื้อเพิ่ม)
- ลดภาระทางการเงินเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เพราะหากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น ไฟไหม้, น้ำท่วม, หรือโจรกรรม ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจมีมูลค่าสูงมาก การมีประกันบ้านจะช่วยให้คุณไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือจัดซื้อทรัพย์สินใหม่ทั้งหมดด้วยตนเอง
- ช่วยสร้างความอุ่นใจและความมั่นคงในชีวิต เพราะการรู้ว่าบ้านและทรัพย์สินของคุณได้รับการคุ้มครอง จะทำให้คุณคลายความกังวลและสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างสบายใจมากขึ้น โดยไม่ต้องกลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีเงินซ่อมแซมหรือซื้อใหม่
- ประกันบ้านไม่ได้คุ้มครองแค่ไฟไหม้เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมภัยอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม, แผ่นดินไหว, ลมพายุ), โจรกรรม, ความเสียหายจากน้ำ, และความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าบ้านของคุณจะได้รับการดูแลในสถานการณ์ที่หลากหลาย
- ไม่ใช่แค่ตัวอาคารบ้านเท่านั้นที่ได้รับการคุ้มครอง แต่ทรัพย์สินมีค่าที่คุณสะสมไว้ภายในบ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือของตกแต่งบ้าน ก็จะได้รับการคุ้มครองด้วยเช่นกัน ทำให้คุณไม่ต้องกังวลว่าของมีค่าจะเสียหายหรือสูญหายไปโดยเปล่าประโยชน์
- หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้บุคคลภายนอกได้รับบาดเจ็บหรือทรัพย์สินเสียหายภายในบริเวณบ้านของคุณ ประกันบ้านจะเข้ามาช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ทำให้คุณไม่ต้องแบกรับภาระทางกฎหมายและการเงินเองในกรณีที่ไม่คาดฝัน
- ในกรณีที่บ้านได้รับความเสียหายรุนแรงจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ บางกรมธรรม์จะให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการเช่าที่พักชั่วคราวระหว่างที่บ้านกำลังได้รับการซ่อมแซม ทำให้คุณมีที่พักพิงและไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
- ประกันบ้านส่วนใหญ่มีความยืดหยุ่น คุณสามารถเลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณได้ เช่น เพิ่มวงเงินคุ้มครองทรัพย์สิน, เพิ่มความคุ้มครองภัยก่อการร้าย หรือภัยพิเศษอื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้รับความคุ้มครองที่ตรงใจที่สุด
- ประกันบ้านจะไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากการใช้งานปกติ การสึกหรอตามกาลเวลา หรือการเสื่อมสภาพของวัสดุ เช่น สีซีดจาง และหลังคารั่วซึมจากการไม่บำรุงรักษา เป็นต้น
- ความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการกระทำโดยเจตนาของผู้เอาประกันภัยหรือผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านนั้น
- ความเสียหายอันเกิดจากบ้านสร้างไม่ได้มาตรฐานตามหลักวิศวกรรม หรือมีการต่อเติมที่ผิดกฎหมายหรือไม่ได้รับอนุญาต
- บางกรมธรรม์อาจมีข้อยกเว้นสำหรับทรัพย์สินบางประเภทที่ไม่ได้ติดอยู่กับตัวบ้านถาวร หรือไม่ได้อยู่ในรายการทรัพย์สินที่ต้องคุ้มครองพิเศษ
- โดยทั่วไปแล้ว กรมธรรม์ประกันบ้านพื้นฐานจะไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากสงคราม การก่อการร้าย หรือการจลาจล ยกเว้นว่าจะมีการซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมสำหรับภัยเหล่านี้
- บางกรมธรรม์อาจมีเงื่อนไขว่า หากบ้านถูกทิ้งร้าง ไม่มีผู้อยู่อาศัยเป็นระยะเวลานาน (เช่น เกิน 30-60 วันติดต่อกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขกรมธรรม์) เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น ประกันอาจจะไม่ได้คุ้มครอง
- ความเสียหายที่เกิดจากแมลง หรือสัตว์กัดแทะ เช่น ปลวก มด หนู หรือสัตว์อื่น ๆ ที่กัดกินทำลายโครงสร้างหรือทรัพย์สิน
- ความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะ หรือการปนเปื้อน เช่น มลพิษทางอากาศ, การปนเปื้อนสารเคมี หรือรังสี
- ประกันจะคุ้มครองเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่กรมธรรม์มีผลบังคับใช้เท่านั้น
- ทรัพย์สินบางประเภทที่ไม่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ หรือทรัพย์สินมีค่าสูงพิเศษ เช่น เงินสด ทองคำ อัญมณี งานศิลปะ หรือของสะสมที่มีมูลค่าสูงมาก หากไม่ได้ระบุรายละเอียดและมีการตกลงวงเงินคุ้มครองไว้เป็นพิเศษในกรมธรรม์ อาจไม่ได้รับการคุ้มครองเต็มจำนวนหรืออาจไม่คุ้มครองเลย
- สิ่งแรกที่ต้องทำ คือประเมินมูลค่าของบ้าน (โครงสร้าง) และทรัพย์สินภายในบ้าน (เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของมีค่า) ให้ใกล้เคียงกับมูลค่าจริงมากที่สุด เพื่อกำหนดวงเงินเอาประกันภัยที่เหมาะสม ทั้งนี้ต้องไม่ประเมินสูงมากเกินไปจนเสียค่าเบี้ยแพงโดยไม่จำเป็น หรือน้อยเกินไปจนไม่ครอบคลุมความเสียหาย
- เนื่องจากประกันบ้านมีหลายแผน แต่ละแผนอาจคุ้มครองภัยที่แตกต่างกันไป เช่น แผนพื้นฐานอาจคุ้มครองแค่ไฟไหม้ และฟ้าผ่า แต่แผนที่ให้ความคุ้มครองสูงขึ้นจะครอบคลุมเมื่อเกิดน้ำท่วม แผ่นดินไหว และการโจรกรรมร่วมด้วย เป็นต้น ดังนั้นจึงควรพิจารณาว่าบ้านของคุณมีความเสี่ยงต่อภัยประเภทใดมากที่สุด เพื่อเลือกแผ่นประกันที่เหมาะสม
- อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ การอ่านและทำความเข้าใจ “ข้อยกเว้น” ที่ประกันภัยจะไม่คุ้มครอง เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดในอนาคต
- หากคุณมีทรัพย์สินมีค่าพิเศษ หรือบ้านอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเฉพาะ เช่น อยู่ในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง อาจพิจารณาซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมสำหรับภัยเหล่านั้น
- ทั้งนี้อย่าตัดสินใจเลือกบริษัทใดบริษัทหนึ่งทันที ควรขอใบเสนอราคาจากหลาย ๆ บริษัทประกัน เพื่อเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัย วงเงินความคุ้มครอง และเงื่อนไขต่าง ๆ
- เลือกบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงิน มีบริการลูกค้าที่ดี และมีประวัติการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่รวดเร็วและเป็นธรรม
- ก่อนตัดสินใจทำประกัน ควรอ่านเอกสารกรมธรรม์ทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะส่วนของเงื่อนไขความคุ้มครอง ข้อยกเว้น และขั้นตอนการเคลม หากมีข้อสงสัยให้สอบถามตัวแทนหรือบริษัทประกันจนกว่าจะเข้าใจความคุ้มครองอย่างแท้จริง
- หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูลประกันภัย แนะนำให้ปรึกษาตัวแทนประกันภัย หรือนายหน้าประกันภัย ที่มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกแผนประกันที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบ้านของคุณ
- ความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของบริษัทประกันภัย แนะนำให้เลือกบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในตลาด มีประวัติการดำเนินงานที่ดี
- ตรวจสอบว่าแผนประกันภัยครอบคลุมภัยหลักที่คุณกังวลหรือยัง เช่น ครอบคลุมเมื่อเกิดไฟไหม้, น้ำท่วม, แผ่นดินไหว หรือโจรกรรม ร่วมด้วยไหม หากยังไม่ครอบคลุมแนะนำให้พิจารณาว่ามีตัวเลือกความคุ้มครองเพิ่มเติมที่คุณต้องการหรือไม่ เช่น ความเสียหายจากภัยก่อการร้าย, ค่าที่พักชั่วคราว เป็นต้น
- เลือกวงเงินเอาประกันภัยควรเพียงพอต่อมูลค่าการก่อสร้างบ้านใหม่ หรือการซื้อทรัพย์สินใหม่ในกรณีที่เกิดความเสียหายรุนแรง
- เปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยกับวงเงินความคุ้มครองและเงื่อนไขต่าง ๆ จากหลาย ๆ บริษัท เพื่อให้ได้แผนที่คุ้มค่าที่สุด
- เลือกบริษัทที่มีกระบวนการเคลมที่ไม่ยุ่งยาก และใช้เวลาในการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่รวดเร็ว
- เพื่อให้มั่นใจว่าประกันบ้านให้ความคุ้มครองเพียงพอ คุณควรเลือกทุนประกันที่ครอบคลุมมูลค่าการก่อสร้างบ้านใหม่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ราคาที่ซื้อมาในอดีต เพราะราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามเวลา ดังนั้นให้ประเมินว่าหากต้องสร้างโครงสร้างบ้านใหม่ทั้งหมดในตอนนี้ จะต้องใช้เงินเท่าไหร่ เพื่อให้ได้วงเงินคุ้มครองที่เหมาะสมที่สุด
- ประเมินมูลค่าทรัพย์สินภายในบ้าน ทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และของมีค่าอื่น ๆ โดยควรพิจารณาทำประกันให้ครอบคลุมกับมูลค่าทรัพย์สินเหล่านี้