5 ม.ค. 2568 09:00 น.

• ข่าว
• ยานยนต์
• รีวิวรถ
• ไทยรัฐออนไลน์

รถ Plug-in Hybrid: ส่วนเสริมเขี้ยวเล็บของ BYD สำหรับคนไม่สะดวกใจใช้ BEV

-กกก⁺

LightDarkฟังข่าว

ชั่วโมงนี้ไม่มีใครปฏิเสธความร้อนแรงของ BYD ในปีที่แล้วพวกเขาวางเป้าขายรถ 3.6 ล้านคันทั่วโลก แล้วก็จบไปด้วยตัวเลข 4.3 ล้านคัน (มากกว่าปี 2023 ถึง 40%) ภายใต้การนำของหวัง ชวนฟู บอสใหญ่ บริษัทรถจีนที่มีลูกจ้างเกือบล้านคน วิศวกร 110,000 คน ซึ่งกำลังสยายกรงเล็บไปยังตลาดทั่วโลกอย่าง BYD นี้ เป็นที่รู้จักของคนไทยในฐานะผู้นำยอดจดในตลาด EV ประเทศไทย การรุกที่หนักหน่วง รวดเร็ว ทั้งด้านเทคโนโลยีและราคา ทำให้เหลือเพียงแค่คนที่แอนตี้รถจีน กับคนที่ยังไม่อยากใช้ EV เพราะเรื่องความสะดวกในการชาร์จ คนกลุ่มแรกอาจเปลี่ยนใจได้ยาก แต่สำหรับคนกลุ่มหลัง BYD มีรถปลั๊กที่เติมน้ำมันได้ไว้รอสอยใบจองแล้ว

…

เรามักจะนึกว่า BYD คงหากินกับรถ EV เป็นหลัก..สิ่งที่ผมเองก็เพิ่งทราบก็คือ ในปี 2024 ถ้านับยอดขายแบบทั้งโลกแล้ว มีเพียงเดือนมกราคมเท่านั้นที่ BYD ขายรถ EV มากกว่า PHEV แต่ในเดือนอื่น PHEV ขายดีกว่า และยิ่งเขยิบเข้าสู่ช่วงท้ายปี ยอดขาย PHEV ยิ่งถีบตัวดีขึ้นกว่าชัดเจน ห่างกัน 30-40% เลยทีเดียว และสำหรับในประเทศไทยนั้น ช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมาก็ได้มีการเปิดตัว Sealion 6 DM-I ซึ่งเป็นรถ PHEV ที่จริงๆแล้วขายในจีนมาสักพักในชื่อ Song Plus ก่อนจะไมเนอร์เชนจ์เปลี่ยนหน้าให้คล้าย Seal ในปี 2023 ดังนั้นในด้านเทคนิคมันจึงไม่สดใหม่น่าจีบแบบรถ EV อย่าง Sealion 7 แต่แม้พลังรวมจะน้อย อัตราเร่งไม่แรง ตัวรถก็เก่า ยอดขายของ Sealion 6 กลับเดินดีทั้งที่ราคาไม่ได้ถูกกว่ากันเยอะนัก ดูอย่างตอนงาน Motor Expo ก็จริงล่ะว่ายอดจอด Sealion 6 แค่ 863 คันดูธรรมดามากเมื่อเทียบกับ 3,853 คันของ Sealion 7 แต่ในงานเดียวกัน ATTO3 ได้ 446 คันนะครับ

นี่คือสิ่งที่บางคนอาจมองข้าม เพราะเห็นว่ารถ PHEV แบกทั้งเครื่อง แบกทั้งแบตเตอรี่ ก็แลดูจะมากเรื่องในการบำรุงรักษา แต่ในเมื่อระบบ DM-I 4.0 ใน Sealion 6 นั้นใช้เครื่องยนต์เพื่อปั่นไฟเป็นหลัก ความเร็วในการโทรมจึงไม่น่าเท่ารถที่ใช้เครื่องยนต์เป็นตัวหลักในการขับดันรถ สิ่งที่รถ PHEV ได้เปรียบคืออิสระในการเลือกว่าคุณรีบขนาดไหน ถ้ารีบมากไม่ต้องชาร์จครับ เติมน้ำมันแล้วขับไปเลย..แต่ค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรก็พุ่งหน่อย ส่วนคนที่ไม่รีบ คุณชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มก่อนออกจากบ้าน วิ่งไปสัก 300 กิโลเมตรแล้วค่อยหาจุดชาร์จพร้อมแวะกินข้าว Sealion 6 มันรองรับการชาร์จ DC ได้มากสุดแค่ 18kWh ก็จริง แต่แบตเตอรี่มันก็จุไฟแค่ 18.3kWh คุณทิ่มเอาไฟคืนหม้อสัก 80% แล้วตีพรวดเดียวถึงเชียงใหม่ อัตราสิ้นเปลืองมันก็จะออกมาไม่แย่นัก ในขณะที่เวลาใช้เดินทางไปมาระยะใกล้ๆ คุณใช้ไฟฟ้าล้วนวิ่งได้ 95 กิโลเมตร ดังนั้นในวันทำงานทั่วไปก็เสียค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร แบบรถไฟฟ้า

ลักษณะของรถแบบนี้จึงเหมาะสำหรับบ้านที่มีรถคันเดียวใช้ทำทุกอย่าง ใช้ในเมือง 80% ออกทางไกล 20% หรืออาจจะวิ่งไกลเยอะกว่านั้นแต่ระบุเวลาและโอกาสไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ต้องวิ่งภารกิจด่วนแบบค่าน้ำมันเรื่องเล็กเสียเวลาเรื่องใหญ่ ซึ่งชีวิตชนชั้นกลางของประเทศเราหลายครัวเรือนก็เป็นแบบนั้น อาจเป็นด้วยเหตุนี้ BYD จึงมีแผนที่จะทำตลาดรถ PHEV ในไทย และในการสัมภาษณ์ช่วงปลายปีก่อนถึงโรงงานในไทย ก็ยังยืนยันว่าจะใช้โรงงานในไทยผลิตทั้งรถ BEV และ PHEV เพื่อป้อนตลาดพวงมาลัยขวารวมถึงขายในประเทศไทยด้วย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมนับเป็นการขยายโอกาสให้กับทางค่ายเอง ถูกล่ะ มันต้องมีคนที่หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ขอใช้รถจีน แต่ก็มีกลุ่มที่ไม่ได้รังเกียจรถจีน แค่ไม่สะดวกที่จะใช้ EV เป็นรถคันเดียวของบ้าน นี่คือลูกค้ากลุ่มเล็ก เงินไม่เยอะ แต่เมื่อเอาราคาคูณยอดขายแล้ว ก็เป็นเงินโขอยู่

ทีนี้ Sealion 6 เปิดประตู PHEV ให้คนไทยไปแล้ว คำถามคือ แล้วจะเอารุ่นไหนมาสานต่อ เพราะถ้าขืนภายใน 12 เดือนนี้ไม่มีข่าว PHEV ตามมาสักรุ่น ผู้คนก็จะบอกว่าไม่แน่จริงนี่หว่า กลับไปขาย EV อย่างเดียวเถอะ

…

BYD Shark 6 กระบะทรงครีเอทีฟ เหมือนให้ LEGO ช่วยออกแบบให้ อันนี้มีโอกาสมาสูง เพราะตามที่น้าเต้ย AutolifeThailand เคยสัมภาษณ์และเขียนบทความเอาไว้ รถรุ่นนี้เคยอยู่ในแผนที่จะเปิดตัวในประเทศไทยช่วงไตรมาสแรกปีนี้ แต่วิกฤติไฟแนนซ์กับการหดตัวของตลาดกระบะในตลอดปีที่ผ่านมาทำให้แผนนั้นถูกชะลอไปก่อน Shark 6 DM-I นั้นใช้เครื่องเบนซิน 1.5 ลิตรเทอร์โบ 231 แรงม้า บวกมอเตอร์สองตัว กำลังรวม 435 แรงม้า แบตเตอรี่โต 29.6 kWh และรองรับการชาร์จเร็ว DC ได้ 55kW คนไทยเห็นตัวจริงไปแล้วในงาน Motor Expo และตลาดพวงมาลัยขวาที่ออสเตรเลียก็เปิดตัวขายและส่งรถขึ้นท่าเรือจากจีนมาแล้ว ดังนั้นถ้าจะขาย ตัวรถมีความพร้อมที่จะมาในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตามในปีที่แล้ว เราก็ได้มีการเคาะมาตรการสรรพสามิตใหม่ที่รักรถ CO2 ต่ำๆมากขึ้น และมีเงื่อนไขจาก BOI ที่ส่งผลต่อการพิจารณาประกอบรถ PHEV ในไทยเพื่อขายในประเทศและส่งออก กฎเกณฑ์ที่ต้องทำตามมีอะไรบ้าง ผมยังทราบไม่หมด แต่บางข้ออย่างเช่นเรื่องพิสัยวิ่ง EV Mode กับขนาดถังน้ำมัน มีกำกับไว้ว่า ถ้าวิ่งได้ไกลไม่น้อยกว่า 80 กม. (EV Mode) และถังน้ำมันต้องไม่โตกว่า 45 ลิตร แล้วจะได้สรรพสามิต 5% แต่ถ้าแหกเงื่อนไขสักข้อเดียวในนี้จะเพิ่มเป็น 10% ไอ้ผมก็เกาหัวแกรกๆ เพราะ 5% จากเงินเกือบล้านนี่ก็โขอยู่ ซึ่งนั่นก็แปลว่า ถ้า BYD จะประกอบ PHEV ในไทยแล้วทำราคาให้ได้ถูก และผลิตรถส่งออกให้คุ้มต่อการตั้งโรงงานในไทย ก็ต้องพิจารณาความง่ายในการทำรถให้เป็นไปตามกฎของทางไทย และต้องเป็นรถที่ตลาดพวงมาลัยขวามีความต้องการสูงด้วย นี่คือสรุปแบบง่าย..แต่ปฏิบัติตาม ไม่ง่ายขนาดนั้น

…

ในความเห็นของผม ถ้า Deepal กล้าขาย E07 และ Riddara กล้าขาย RD6 ซึ่งเป็นไฟฟ้าล้วนทั้งคู่ ทำไม BYD จะไม่กล้าขาย Shark 6 ดังนั้นผมจึงทึกทักเอาเองว่า ไม่ใช่ไม่กล้า แต่กำลังหาลู่ทางใดก็ได้ทำราคาให้ฆ่าเจ้าคู่แข่ง BEV สองตัวนั่นได้แล้วยิงตู้มเดียวให้เรือล่มไปเลย เพราะที่ผ่านมา BYD ใช้ราคาเป็นปืนใหญ่กระบอกหนึ่ง แต่พอลดราคาสัก 2-3 ครั้ง ก็ทำให้ราคามือสองผันผวน เตนท์กลัวรถติดมือเพราะรับมาแพง เจอป้ายแดงลดราคาแล้วปล่อยรถออกไม่ได้ ก็เลยต้องตีราคาในแบบที่ลูกค้าฟังแล้วอยากตีหัวคนตีราคา (ซึ่งทุกธุรกิจมันต้องไม่เลือกทางที่ชักเนื้อตัวเองอยู่แล้วหรือเปล่า?) การจะสร้างเสถียรภาพทางราคาให้เกิดแล้วขายของในราคาที่คู่แข่งตายเรียบ ก็คือต้องราคาถูกตั้งแต่วันแรกไปเลย ผมเดาว่า BYD กำลังเดินไปทางนั้นอยู่

…

ทีนี้ นอกจาก Shark 6 แล้ว มีอะไรน่าขนมาอีก? อันที่จริงรถที่ใช้ขุมพลัง PHEV (ซึ่งทาง BYD เรียกว่า DM-I ย่อมาจาก Dual Mode-Intelligence) เขามีขายในจีนแทบจะทุกขนาดตัวถัง แล้วดูพี่แกเงินเยอะนะ แทนที่จะใช้หน้าตาเดียวกันทั้ง EV และ PHEV บางรุ่นก็ทำหน้าตาให้มันต่างกันแบบไม่สุด อย่าง Seal EV ที่เราคุ้นตากัน พอเป็นรถ DM-I กลับออกมาเป็นรุ่น Seal 07 DM-I ซึ่งหน้าและท้ายต่างกัน ตัวรถยาวไม่เท่ากัน แต่ก็ต่างแบบไม่ฉีก Seal EV ดูสปอร์ตเตี้ย Seal 07 ดูผู้ใหญ่กว่า รุ่นท้อปจะใช้เครื่อง 1.5 เทอร์โบ บวกมอเตอร์ และแบตเตอรี่ 30kWh ที่ทำให้วิ่งไฟฟ้าล้วนได้ไกล 160 กม. (WLTP ด้วยนะไม่ใช่ NEDC)

แต่จุดที่น่าพิจารณาก็คือ มาแล้วมันจะมากินหัว Seal EV ที่มีขายอยู่แต่เดิมแล้วหรือเปล่า ยอดขายของ Seal EV ร้อนแรงมากในช่วงแรกๆ แต่ช่วงหลังก็ร่วงลงไปตามหลัง Camry กับ Accord อาจเป็นไปได้ว่ารถซีดานไซส์ 4.8-4.9 เมตรนี้ไม่ใช่รถขายดีสำหรับประเทศไทย เกือบจะทั้งโลกหนีรถประเภทนี้ไปหา SUV กันหมด ซึ่งถ้าเป็นรถ PHEV แล้วเป็น SUV ในไทยก็มี Sealion 6 ประกอบในประเทศอยู่แล้ว ครั้นจะไปเอา Sealion 7 DM มาขายก็ทะแม่งๆ เพราะชื่อเหมือน Sealion 7 EV ที่คนไทยแห่กันจอง แต่นอกจากขุมพลังเป็น PHEV แล้ว หน้าตาก็ต่างกัน เพราะ 7 DM คือรถรุ่นเก่าอย่าง Tang/Frigate 07 ที่เอามาแปลงหน้าอีกที ทำนองเดียวกันกับ Sealion 6 ที่ต้นกำเนิดเป็น Song Plus

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นตลาดที่ราคาไม่แตะล้านบาท โอกาสรอดของรถประเภทซีดาน 4 ประตูจะดีขึ้นมาก ถ้าให้ดูตัวอย่าง ก็ดู Toyota ครับ กับ Yaris Cross ซึ่งเมื่อเปิดตัวมา Yaris ATIV ยังขายได้อยู่ ตราบใดก็ตามที่เวอร์ชั่น 4 ประตูราคาถูกกว่ากันสักแสนบาทได้ คนไทยชอบ SUV จริง แต่ในตลาดของผู้ซื้องบไม่เกินล้านรถใต้ท้องเตี้ยปกติก็ยังขายได้ ซึ่งนั่นก็จะมีที่สำหรับรถ BYD สองรุ่นเท่าที่ผมมองอยู่ตอนนี้

รุ่นหนึ่ง เป็นรถตัวยาว 4.78 เมตร ยาวกว่า Civic ครึ่งฟุต และสั้นกว่า Seal EV แค่ 20 มม. แต่ถ้า BYD เอาจริงพวกเขาน่าจะทำราคาให้ถูกกว่า Civic ได้ รถรุ่นนี้ปัจจุบันพรางหน้าพรางตาอยู่ แต่มีกำหนดว่าจะใช้ชื่อ Seal 5 DM-I ซึ่งในปัจจุบันที่ฟิลิปปินส์ก็มีรถ BYD ชื่อรุ่นนี้อยู่ โดยเอารถรุ่น Destroyer 05 PHEV ในจีนมาขาย (เนื่องจากผมหาภาพไม่ติดลิขสิทธิ์ของเจ้า 05 ตัวใหม่มาลงไม่ได้ ก็เลยแนบภาพ Destroyer 05 ตัวเก่ามาแทน) หน้าตาของตัวใหม่นั้น ให้นึกภาพว่าเอา Destroyer มาใส่หน้าและท้ายของ Atto 3 ครับ มันจะได้ใกล้เคียงทำนองนั้น และด้านท้ายก็จะได้โลโก้ BYD สวยๆแทนที่จะเป็นคำว่า “Build Your Dreams”

Seal 5 DM-I จะใช้ขุมพลัง DM-I เจนเนอเรชั่นใหม่ DM 5.0 (Sealion 6 เป็นเวอร์ชั่น 4.0) ซึ่งในการปรับปรุงครั้งล่าสุดนี้ จะมีการปรับจูนเครื่องยนต์ให้ประหยัดเชื้อเพลิงขึ้นกว่าเวอร์ชั่น 4.0 และมาพร้อมแบตเตอรี่เจนเนอเรชั่นใหม่ที่มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่าเดิม ตัวเครื่องเบนซินมีกำลัง 99 แรงม้า บวกกับมอเตอร์ 161 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ดังนั้นเรื่องสมรรถนะและอัตราเร่งจะไม่ใช่จุดขาย (อันที่จริงรถ PHEV เกือบทุกรุ่นของ BYD อัตราเร่งจะสู้ EV ของค่ายไม่ได้ยกเว้นพวก DM-P ที่เน้นสมรรถนะสูง) แต่จุดขายในเวอร์ชั่นจีนคือระยะวิ่งเมื่อเติมน้ำมันเต็มถังและชาร์จไฟเต็มรวมกันได้ 2,100 กม. ฟังดูน่าตื่นเต้น แต่ถ้าจะขายในไทยก็คงต้องปรับขนาดถังน้ำมันจาก 65 ให้เหลือ 45 ลิตรก่อนล่ะครับ สรรพสามิตถูก รถก็ขายได้ถูก ผมว่าน้อยคนที่จะแคร์จริงๆว่ารถวิ่งได้ทะลุพันโลหรือไม่

ความน่าสนของ Seal 5 DM-I จะอยู่ที่ราคา ถ้าสามารถพาเข้าเงื่อนไขรับสิทธิทางสรรพสามิตได้ก็จะยิ่งถูก คุณคิดว่าค่ายที่สร้างรถอย่าง Sealion 6 มาขายในราคาต่ำล้านได้ พอเป็นรถพิกัดที่เอาไว้ฟัดกับ Civic เขาจะทำให้ถูกกว่า Civic สักสองแสนบาทหรือมากกว่า ก็เป็นไปได้นี่ครับ ลองนึกถึงนิสัยคนขายของที่เงินเยอะและกล้าทุ่มทุนแบบ BYD การจะทำราคา Seal 5 ให้ลงไปแหย่ลูกค้า Honda City e:HEV ตัวท้อป คุณว่ามันได้หรือเปล่าล่ะ?

ส่วนรถอีกรุ่นที่จะพูดถึงคือ Seal 6 DM-I ซึ่งเป็นรถที่ขนาดตัวเท่าๆกันกับ Seal EV คือตัวยาวกว่าแค่ 3 ซม. แต่ฐานล้อสั้นกว่าเยอะ สัดส่วนรถและดีไซน์ด้านหน้าต่างจาก Seal EV ก็ด้วยความที่ต้องเผื่อที่ไว้สำหรับเครื่องยนต์สันดาปนั่นเอง รถรุ่นนี้ในจีนจะมีฝาแฝดชื่อ Qin L ซึ่งรถสองคันนี้แม้จะเป็น BYD ทั้งคู่ แต่ Qin จะเป็นรถจากตระกูล Dynasty ที่แก่แต่หรูกว่า และ Seal 6 จะมาจากตระกูล Ocean ที่ดูคลีน ดูวัยรุ่นกว่า (Seal EV, Sealion 7 บ้านเราก็เป็นเด็กบ้าน Ocean) ในจีน Qin L ขายดีกว่า Seal 6 มาก สามวันแรกขายไป 5,000 คัน คุณลองดูทรวดทรงของพวกมันก็ได้ (Qin จะมีหน้าเหมือนมังกร ส่วน Seal 6 ไม่มีกระจังหน้า เน้นเรียบๆและไฟท้ายเกือบเหมือน Seal EV) คุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน? คนแก่แบบผมรู้สึกว่า Qin หล่อกว่าทั้งคัน

เทคโนโลยีการขับเคลื่อนก็เป็นระบบ PHEV DM 5.0 รุ่นใหม่แล้ว เขามีรุ่นธรรมดา กับรุ่นวิ่งไกล ทั้งคู่ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเบนซิน 99 แรงม้าตัวเดียวกับ Seal 5 DM-I แต่ความแรงจะไปต่างกันที่มอเตอร์กับแบตเตอรี่ รุ่นธรรมดา พลังมอเตอร์ 163 แรงม้า ใช้แบตเตอรี่ 10 kWh วิ่งได้ไกล 80 กม. ตามมาตรฐานจีน ซึ่งตัวนี้มาไทยอาจจะหมิ่นๆไม่ผ่านการรับสรรพสามิตเรตถูก แต่รุ่นสูงๆ จะขยับพลังมอเตอร์เป็น 217 แรงม้า และมีแบตเตอรี่ 15.8 kWh ที่ทำให้วิ่งได้ไกล 120 กม. (CLTC) ตัวหลังนี่ล่ะ ทั้งพละกำลังและพิสัยการวิ่ง EV Mode น่าสนใจ

ในภาพรวม ผมมองว่า BYD อาจเล็งเป้าไปที่ Seal 5 DM-I สำหรับการสร้างยอด PHEV เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างและขายในราคาถูก ชนิดที่อาจไปสะเทือนรถซีดานไซส์ Honda City (คือไม่ใช่ราคาเท่า City 1.0 Turbo ตัวถูกสุด แต่น่าจะแย่งลูกค้า City e:HEV RS ได้บ้าง) ส่วนตัวผมยังไม่แน่ใจว่ามันจะคุ้มหรือไม่สำหรับการนำรถที่บอดี้หลักขายมานาน เป็นรถไมเนอร์เชนจ์มาประกอบขาย ณ วันนี้ แต่คิดอีกที Sealion 6 ก็เป็นรถที่มาจากบริบทเดียวกัน เขาก็ประกอบไทยขายอยู่ตอนนี้ได้นี่

ส่วนระหว่าง Seal 6 DM-I กับ Seal 07 DM-I นั้น ดูจากการที่คนไทยไม่ได้รักซีดานที่ราคาเกิน 1.3 ล้านบาทขนาดนั้น บวกกับเรื่องความสด และการไม่ไปแย่งตลาดกันเองกับ Seal EV ถ้าพวกเขาต้องเลือกระหว่างสองรุ่นนี้ Seal 6 ดูน่าสนกว่า ส่วน Shark 6 นั่น ไหนๆก็ผลิตพวงมาลัยขวาส่งออสเตรเลียนิวซีแลนด์อยู่แล้ว ก็ลองรอดูดีมานด์จากสองประเทศนั้นก่อนว่ามากขนาดไหน ถ้าเยอะมากก็อาจค่อยมาประกอบที่ไทยก็ได้ ถึงแม้ตลาดกระบะในไทยทรุด แต่ถ้าโรงงานไทยสามารถผลิตแล้วส่งออกได้ในต้นทุนรวมค่าจัดส่งถึงที่หมายที่ไม่แพงกว่าการส่งจากจีน ก็มองส่งออกเป็นหลัก แล้วมองไทยเป็นโบนัส..ใครจะไปรู้ อาจจะขายดีก็ได้ เพราะ Toyota, Isuzu กับ Ford คงไม่ทำหรือนำปิคอัพ PHEV มาขายอย่างน้อยก็ภายใน 12 เดือนนี้แน่นอน

และนี่ก็คือเรื่องราวคร่าวๆกับรถสองหัวใจของ BYD ที่มีโอกาสขยายตลาดในบ้านเรา ภายในเดือนพฤษภาคมปีนี้ สิ่งต่างๆน่าจะชัดเจนขึ้นว่า BYD เอาจริงกับตลาด PHEV หรือแค่หย่อนตัวตายมาหนึ่งตัวแล้วเลิกสนไปเลย แต่โดยส่วนตัว ความดุ โหด รุกแรงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าเป็นอย่างแรกมากกว่า

Pan Paitoonpong

…

ข่าวเด่นดูทั้งหมด

“นพดล” เผย กมธ.วุฒิฯ เก็บข้อมูลชายแดนตราด “อภิสิทธิ์” จ่อแจงเคยชงยกเลิก MOU 44

การเมือง18:19 น.

กองทัพภาคที่ 1 ย้ำการเปิดเครื่องเสียง เป็นปฏิบัติการจิตวิทยา ตามแผนจากเบาไปหาหนัก

ทั่วไทย18:05 น.

รมช.อุตสาหกรรม เตรียมดันโมเดลอ้อยสดช่วยลดการเผา ลดมลพิษPM2.5 เสริมแรงจูงใจเกษตรกร

การเมือง18:02 น.

…