14 ก.ค. 2567 09:55 น.

ส่องมือสองน่าสน-แตะเบนซ์พลังซุปเปอร์ชาร์จเกือบ 200 ม้าในงบแสนปลาย กับ C 230 Kompressor

-กกก⁺

LightDarkฟังข่าว

วิกฤติการเงินในช่วงนี้ทำให้รถยุโรปมือสองหลักแสนหลายรุ่นราคาร่วงลงมาอยู่ในระดับที่เป็นเจ้าของง่ายสำหรับคนที่พร้อม อยากลองขับรถยุโรปในงบรถญี่ปุ่น ได้ความพรีเมียมของแบรนด์ ได้มาดที่ดูรวย แลกกับการซ่อมบำรุงการดูแลที่ไม่ถูกเหมือนรถญี่ปุ่นและมีจุดให้ต้องคอยตรวจสอบเยอะกว่า แต่ C-Class W203 คันนี้อายุเพิ่งผ่านเกณฑ์เลือกตั้งได้มาหมาดๆ เป็นสเปกรุ่นย่อยระดับท็อปในวันของมัน ราคาตอนป้ายแดงเกินสามล้านบาท ในวันนี้กำงบแสนปลายก็มีสิทธิ์เป็นเจ้าของตราดาว ทรงไม่แก่ คันไม่โต ขับคล่อง แรงทันใจด้วยพลังซุปเปอร์ชาร์จ TwinPulse

…

สัปดาห์นี้คอลัมน์ ThairathOnline วันอาทิตย์ เอาใจคนที่อาจจะไม่ได้รวยเหลือๆ มีรถใช้งานที่พึ่งพาได้จริงๆ อยู่แล้วอย่างน้อยคันนึง แต่อยากหารถอีกคันไว้สัมผัสประสบการณ์กับรถหลายๆ แบบ บางคนก็อยากลองรถค่ายดาวสามแฉกสักครั้งในชีวิตทั้งที่ปกติเป็นสาวกรถญี่ปุ่นมาตลอด แต่ไม่ได้มีเงินเยอะสี่ห้าแสนบาท ครั้นจะไปมองรถสุดคลาสสิกอย่าง 190E หรือโลงจำปา W124 ก็ต้องยอมรับว่าสองรุ่นนี้ รถดีจริง ช่วงล่างอย่างเจ๋ง แต่หลายอย่างในรถนั้น วิศวกรรมจากยุค 70s ตอนปลาย (ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Mercedes-Benz เริ่มวิจัยรถเหล่านี้) ก็มีข้อจำกัดของมัน และเรื่องอะไหล่ตัวถัง/ภายในหลายชิ้น เริ่มหาไม่ง่ายแบบเมื่อ 5-6 ปีก่อน ดังนั้นพวกเราหลายคนก็เบนเป้าไปมอง C-Class W202 หรือ E-Class W210 แทน ซึ่งรถเหล่านี้อะไหล่ยังหาได้ง่ายกว่า แต่พอคุณอยากได้รุ่นที่มีอัตราเร่งกระฉับกระเฉงหน่อย ตรงนี้จะเริ่มยาก

เพราะเอาจริงๆ W202 ที่ขายในไทยส่วนมากคือ C 180 และ C 220 ซึ่งต่อให้เครื่องสมบูรณ์แบบกดคันเร่งเต็มร้อยแม่ยายก็ไม่สะท้านจิต หรือฝั่ง E-Class W210 ก็มี E 280 เครื่อง 6 สูบเรียง 24 วาล์วที่ตัวรถก็หายาก สภาพดีๆ ก็หายากกว่า หรือ E 240 กับ E 200 Kompressor พวกนี้ก็เรียกว่าแรงพอพึ่งพาได้ ไม่ถึงกับสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าเวลากดคันเร่ง สูตรของการสร้างความบันเทิงจากอัตราเร่งคือ พลังจากเครื่องยนต์ กับน้ำหนักตัวที่เบา คุณเอาเครื่อง 200 ม้า ไปใส่ S-Class มันคงไม่เท่าไรในเรื่องความแรง แต่ 200 ม้าไปอยู่ใน C-Class นั่นมันคือความสนุกคนละแบบ นี่คือจุดที่รถอย่าง C 230 Kompressor W203 เข้ามาโค้งคำนับอย่างสุภาพให้คุณ และยืนตรงให้ผมแนะนำเขาให้คุณรู้จักข้อดี ข้อเสีย

C-Class ตัวถัง W203 นั้น เป็นรถเบนซ์ที่ทำตลาดอยู่ในช่วงสมัยที่เขายังคบกับค่ายอเมริกัน เป็น DaimlerChrysler ดาวสามแฉกพบรักกับดาวมะกันห้าแฉก แทนที่จะออกมาเป็นแปดแฉกก็ปรากฏว่าแยกทางในปี 2007 กันหลังเสพสมแล้วมิสม (ในแง่ธุรกิจนะ..อย่าคิดลึก) อย่างไรก็ตาม ตัวรถนั้นเริ่มวิจัยและพัฒนากันตั้งแต่ประมาณปี 1994 หลังจาก W202 ออกจำหน่ายได้เพียงปีเดียว ในการพัฒนารถรุ่นนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่า Mercedes-Benz พยายามปรับภาพลักษณ์ของค่ายจากการเป็นรถคนแก่ มาดทึนทึก ขนาดรุ่นที่ขายวัยรุ่นก็ยังดูแก่ เปลี่ยนเป็นรถที่ดูวัยรุ่นขึ้น คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทรวดทรงอย่างชัดเจน จาก S-Class W140 เป็น W220 รวมถึง E-Class จาก W210 เป็น W211 เส้นสายของรถ ดูวัยรุ่นกระฉับกระเฉงขึ้น ลูกค้าเห็นแล้วตัดสินใจง่ายขึ้น อย่าง C-Class ตัวถังซีดานเจเนอเรชันนี้ ได้รับความนิยม ขายไปทั่วโลกมากกว่า 1.4 ล้านคันในช่วงที่มันทำตลาด

…

ถ้าคุณไม่คิดซะก่อนว่า..วันที่รถรุ่นนี้เผยโฉมครั้งแรกมันคือปี 1999 หรือ 25 ปีมาแล้ว มันก็ยังเป็นรถที่ดูสดใส แอบแฝงความทันสมัย ผมยังจำได้ว่าสมัยเรียนที่วิทยาลัยนานาชาติมหิดล C-Class รุ่นนี้มีเด็กมหา’ลัยบ้านรวยขับกันเยอะมาก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เดินดูรถทั่วมหา’ลัยวัยรุ่นแล้วพบว่าเจอ C-Class เยอะกว่า 3-Series E46 สมัยรุ่นแรกที่จำหน่ายนั้น ในไทยจะมีรุ่น C 180 ซึ่งเป็นเครื่อง 2.0 ลิตร 136 แรงม้าบล็อก M111 ที่เป็นมรดกจากยุค W202 และรุ่น C 200 Kompressor ซึ่งใช้เวอร์ชันซุปเปอร์ชาร์จของ M111 2.0 ลิตร 163 แรงม้า พวกรถลอตแรกๆ นี้จะมีแผงมาตรวัดแบบ 3 เบ้า ซ้ายสุดเป็นวัดรอบ ขวาสุดเป็นเกจ์น้ำมัน ส่วนตรงกลางเป็นเข็มความเร็วมหึมา ทับด้วยจอ MID ซึ่งนี่คือจุดที่แฟนๆ เบนซ์บางคนไม่ค่อยชอบเพราะมันดูเหมือนรถเด็กมากไป ดูแล้วไม่หรู

…

พวกรถเวอร์ชันแรกๆ นี้ ตอนนี้ราคาซื้อง่ายมาก ถ้าคุณมีแผนจะทำ C 32 AMG V6 ซุปเปอร์ชาร์จ 347 ม้าสักคัน ก็หารถเวอร์ชันแรกที่ตัวถังสวยสุด เครื่องพังช่างมัน ราคารถวิ่งอยู่ 85,000-140,000 บาท แต่ก่อนซื้อ กรุณาหาหัวท้ายตัด อุปกรณ์ครบยกชุดสายไฟให้ได้เสียก่อน ราคาหัวท้ายตัดปัจจุบันราว 200,000 บาท ยำเสร็จรวมกัน ถ้าไม่เจออะไรซวยเสียก่อน คุณจะได้รถ AMG ตราดาวม้า 347 ตัวที่จบในงบ 450,000-500,000 บาท แต่ถ้าคุณไม่ได้เน้นพลังเยอะขนาดนั้น ขอแค่ขับแล้วแม่ยายไม่หาวหลับ มีความกระฉับกระเฉงบ้าง ลองดู C 230 Kompressor คันที่ผมเอามาเขียนบทความนี้ครับ

…

รถคันนี้ เป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์แล้ว ซึ่งมาเปิดตัวในไทยช่วงปี 2004 และเป็นเบนซ์ไม่กี่รุ่นที่มีสีน้ำเงินสวยเจ็บให้เลือก เพราะหลังจากนั้นมา สีของเบนซ์มักมีให้เลือกแต่โทนไว้ทุกข์ เพราะเป็นสีที่ซื้อขายง่าย อย่างคันนี้ เป็นสีเงินรหัส 744 – Brilliant Silver สียอดนิยมเพราะเป็นสีมงคล นำพาเงินเข้าบ้าน (เพื่อให้คุณเอามาลงกับรถ) และเป็นสีประจำทีมของ AMG ในสภาพอย่างคันนี้ แค่จับล้อ AMG ใส่ก็ดูซิ่งในแบบกึ่งเดิมกึ่งสปอร์ตได้แล้ว แต่ถ้าใครจะใช้ล้อเดิมขอบ 16 นิ้วที่ติดมา ก็ไม่ได้ผิด แต่ล้อหน้ากับหลังกว้างไม่เท่ากันนะครับ ล้อหน้ากว้าง 7 นิ้ว ล้อหลัง 8 นิ้ว ความน่ารักของ W203 อยู่ที่ทรงภายนอก ไฟหน้าทรงถั่วหมั่นหลีหม่งตราเจดีย์คู่ ทำให้มันได้ฉายาในไทยว่า C-Class ตาถั่ว แต่นอกจากตาแล้ว ส่วนอื่นของรถ ปราดเปรียวเหมือนแมวกระโจนข้ามส้วม คุณจะใช้สภาพเดิมก็ได้ จะแต่งกึ่งดุด้วยพาร์ท AMG ก็ได้ หรือจะจับโหลดแป้กใส่ล้อ BBS LM โตๆ W203 เข้าได้หมด

ส่วนภายใน ต้องบอกไว้ก่อนว่า ถ้าคุณเป็นคนไซส์อ้วนสูงใหญ่ ซื้อเสื้อจากร้าน BERRER Shop ประจำ C-Class W203 อาจไม่ใช่คำตอบที่สบายตัวนัก เพราะการออกแบบทำมาเน้นความทะมัดทะแมงแบบวัยรุ่นสยามสแควร์มากกว่า โดยเฉพาะที่นั่งหลังซึ่งไม่ได้เผื่อคนตัวโตมากเท่าสมัย W202 เพราะจากผลวิจัยพบว่ามีลูกค้า C-Class แค่ราว 20% เท่านั้นที่ไปไหนมาไหนมากกว่าสองคน แต่มันก็ไม่ได้คับแคบไปกว่าคู่แข่งขับหลังสมัยนั้นอย่าง E46 หรือ Lexus IS หรอกครับ เบาะนั่งหุ้มหนัง ใจดีด้วยการมีระบบความจำให้ถึง 3 ตำแหน่ง ซึ่งคุณควรจะหาเรื่องปรับมันเล่นหลายๆ ท่าอย่างน้อยเดือนละครั้งไม่งั้นหน้า Contact สวิตช์จะสกปรกและทำให้ปรับไปทิศทางนั้นไม่ได้

เคล็ดไม่ลับสำหรับคนใช้เบนซ์เก่าแล้วเบาะมี Memory นะครับ..พยายามปรับเบาะให้ถอยห่างและเอนสุด แล้วเมมฯ ไว้ตำแหน่งเลข 3 ครับ เพราะเจอบ่อยมากที่สวิตช์ปรับเบาะเสีย เลื่อนชิดหรือปรับเบาะตั้งได้ แต่เลื่อนห่างหรือเอนไม่ได้ วิธีนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ คือถ้าสวิตช์เสียแค่บางทิศ คุณก็กดเลข 3 ให้เบาะมันเลื่อนห่างออก พอถึงจุดที่พอ ก็เอามือไปกดสวิตช์เบาะสักจุดมันก็จะหยุดตรงนั้น

ด้วยความที่เป็นรถเกิดในโลกยุค Nokia ครองเมือง จึงไม่มี Smartphone Connectivity อะไรให้คุณใช้ รวมถึงไม่มีชุดจอกล้องรอบคันหรือแม้แต่กล้องมองหลัง มันมีให้ในสิ่งที่รถ 3 ล้านบาทของช่วงเปลี่ยนศตวรรษควรมี เซนเซอร์หน้า/หลัง Parktronic มีให้ ระบบความจำของเบาะเชื่อมต่อกับตำแหน่งพวงมาลัยและกระจกมองข้าง เวลาจอดรถดับเครื่องเบาะเลื่อนถอยให้ลุกออกได้ง่าย ภายในเป็นเบาะหนังสีเทา แซมตกแต่งด้วยลายไม้เมเปิ้ลขัดเงา ม่านหลังไฟฟ้า ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 2 โซน พร้อมระบบตัดเอาอากาศข้างนอกมาหมุนเวียนในห้องโดยสารอันแสนน่ารำคาญตามสไตล์เบนซ์ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่เลิก คันเกียร์หุ้มหนัง สามารถเล่นเกียร์ +/- ได้ด้วยการผลักคันเกียร์ไปซ้าย/ขวา กุญแจรีโมตแบบน้ำเต้ายุคเก่า ยังไม่เป็นสมาร์ทคีย์ ไฟหน้า Bi-xenon Projector เวลาเปิดไฟใหญ่จะกะพริบทีนึงก่อนแล้วค่อยติด สมัยนี้ไปใช้หลอด LED กันหมดแล้ว มีไฟ Cornering Light ซึ่งก็คือเวลาเปิดไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอกข้างที่เราเลี้ยวไปนั้นจะสว่างขึ้น เป็นการช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้ทางที่เรากำลังจะเลี้ยวไป

รถ C 230 คันที่นำมาถ่ายภาพนี้ เป็นรุ่นย่อยที่ตกแต่งแบบ Avantgarde ต้องอธิบายสักนิดว่าในยุค 90s-2016 นั้น Avantgarde หรือ Sport มักเป็นการตกแต่งระดับย่อยที่ถือว่าเป็นตัวแพง และแต่งมาในแนวเอาใจวัยรุ่นนะครับ แต่ถ้าเป็นเบนซ์หลังปี 2016 เป็นต้นมา Avantgarde กับ Sport มักกลายเป็นรุ่นย่อยออปชันน้อยราคาถูกไปเสียอย่างนั้น ในความเป็น Avantgarde ของ C 230 คันนี้ นอกจากล้อ 16 นิ้วที่ไล่ระดับหน้า/หลังกว้างไม่เท่ากันแล้ว ยังมีกระจกรอบคันที่จะเป็นโทนสีฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีในรุ่นย่อยอื่น พร้อมโลโก้ Avantgarde ตกแต่งที่หัวเกียร์มาให้

เครื่องยนต์ของ C 230 Kompressor ในโฉมนี้ เป็นเครื่องยนต์ M271 ซึ่งสมัยนั้นเบนซ์เรียกว่าเป็นเครื่อง “TwinPulse” ซึ่งมันก็คือเครื่องยนต์ 4 สูบ เสื้อสูบและฝาสูบเป็นอะลูมิเนียมทั้งก้อน เป็นเครื่องทวินแคม มีระบบแคมชาฟต์แปรผัน ติดตั้งซุปเปอร์ชาร์จ ฟังแล้วก็คล้ายกับเครื่องยนต์ M111 EVO ซุปเปอร์ชาร์จรุ่นเดิม แต่มันคือคนละเครื่องกัน M111 ได้เปรียบเรื่องความทนทานและง่ายต่อการดูแล ส่วน M271 นั้นมีระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อนกว่า ลดความจุจาก 2.0-2.3 ลิตร ลงมาเหลือ 1.8 ลิตร ใช้ลิ้นคันเร่งไฟฟ้าซึ่งเวลาขับ คันเร่งจะเปิดค่อนข้างเยอะตลอดเวลา แล้วใช้วาล์วแปรผันและหัวฉีดในการคุมพลังเอา นี่คือจุดที่ต่างกันในหลักการทำงานเทียบกับเครื่องรุ่นเก่า และ Mercedes-Benz ยังติดตั้ง Balancer Shaft เพลาถ่วงสมดุลที่ท่อนล่างมาให้ เพื่อให้เครื่อง 4 สูบทำงานราบเรียบใกล้เคียงเครื่อง 6 สูบมากขึ้น

ในยุคนั้น ที่ประเทศไทยจะมี C 180, C 200 และ C 230 ซึ่งโดยพื้นฐานเครื่องยนต์ของทั้งสามรุ่นนี้จะเหมือนกัน แต่มีรายละเอียดบางจุดที่แตกต่าง C 180 ใช้ลูกสูบกำลังอัดสูงสุด ประมาณ 10.2:1 และใช้บูสต์น้อยสุด คือประมาณ 7.8 PSI ทำให้มีแรงม้าแค่ 143 แรงม้า ส่วน C 200 ใช้ลูกสูบลดกำลังอัดลง (บางที่ก็บอกใช้ลูกสูบเดียวกันแต่ต่างที่ปะเก็นฝาสูบ) เหลือ 9.5:1 และเพิ่มบูสต์ซุปเปอร์ชาร์จเป็น 10.8 PSI มีแรงม้าเพิ่มเป็น 163 แรงม้า เท่าเครื่อง 200 Kompressor M111 ตัวเก่า ส่วน C 230 จะได้ลูกสูบกำลังอัดต่ำ 8.7:1 และได้ซุปเปอร์ชาร์จไม่เหมือนรุ่นอื่น อัดบูสต์ 12.3 PSI จึงมีแรงม้า 192 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตันเมตร

สาเหตุที่นำรุ่น C 230 ซึ่งเป็นตัวท็อปของไลน์ 4 สูบมาประกอบขายในไทยเพราะยุคนั้น 323i/325i E46 เขาเครื่องปอดโต แรงม้า 184 ตัว เบนซ์ไม่มีรถที่แรงเสมอกันไปแย่งในตลาดวัยรุ่นมหา’ลัยบ้านรวย ก็เลยเอา C 230 K มาเล่นซะ และด้วยความที่แรงบิดนั้นเกือบเท่า E 280 W210 อยู่แล้ว แถมเรียกแล้วมาเร็วด้วยพลังอัดอากาศของซุปเปอร์ชาร์จ และระบบวาล์วแปรผัน C 230 จึงเป็นรถยุโรปโรงงานที่ถือว่าเร็วไม่ใช่เล่น ขนาดพวกผมไปลองขับช่วงเปิดตัวใหม่ๆ นั่งอัด 4 คนตัวโตๆ ในรถ 0-100 ยังจบไม่เกิน 9 วินาที และสามารถวิ่งผ่าน 200 กม./ชม. ได้ไม่ยาก เจ้าของบางคนเอาไปแตะแถวๆ 240 เลยด้วยซ้ำ

ช่วงล่างและการขับขี่ จะมาในสไตล์กึ่งๆ ระหว่างความนุ่มแน่นแอบอุ้ยอ้ายของเบนซ์ยุค 90s กับความไวและเบาของเบนซ์สมัยใหม่ แต่ค่อนไปทางรุ่นเก่าเสียมากกว่า ให้มองว่ามันคือ W202 ที่มีความกระปรี้กระเปร่าแบบวัยรุ่นผสมลงไปบ้าง มันยังเป็นรถที่รูดผ่านซอยสุขุมวิทและถนนปุปะของ กทม. ได้อย่างนุ่มนวล นุ่มจนคุณอาจจะสงสัยว่าทำไม C-Class รุ่นหลังๆ มา รถหนักขึ้นโตขึ้น แต่กลับไม่ได้ความนุ่มสบายแบบนนี้ แต่การตอบสนองของเกียร์และคันเร่ง จะยังช้าแบบเบนซ์ยุคเก่า คือ ถ้าอยากจะซิ่ง ต้องกดปุ่ม S (Standard-ไม่ใช่ Sport) ที่คันเกียร์ (รถรุ่นนี้จะมีโหมด C-Comfort, S-Standard และ M) แต่ภาพรวมก็ยังเป็นรถที่คุณอาจอยากเล่นเกียร์เองเวลาเร่งรีบ พวงมาลัยไวกว่าพวกเบนซ์ 90s แต่ไม่ได้เบา และเลี้ยวไวแบบเบนซ์ยุคใหม่ๆ

สมัยนั้นผมเคยขับเทียบกัน ระหว่าง 323i E46 กับ C 230 K ช่วงล่างมาแนวเยอรมันนุ่มปนแน่นทั้งคู่ กระทืบคันเร่งออกไปตอนต้นๆ ไวไม่แพ้กัน แต่พอหมดเกียร์ 3 เบนซ์ค่อยๆ ฉีกออกไปเรื่อยๆ สปีดทางตรงยกให้ 4 สูบซุปเปอร์ชาร์จเขา แต่ BMW ได้เรื่องอรรถรสจากพวงมาลัยที่บุคลิกสปอร์ตกว่า และเสียงเครื่อง 6 สูบเรียง ที่พอได้ท่อแต่งกับชุดกรองแต่งสักชุดก็หวานตัดขาแล้ว ส่วน C-Class ซุปเปอร์ชาร์จใส่ท่อแต่ง..ไม่ได้เพราะขนาดนั้น บางทีเหมือนแว้นพันห้าญี่ปุ่นเอาด้วยถ้าเลือกท่อดังเกินไป

แต่เรื่องการโมดิฟาย ผมให้ข้อมูลเสริมไม่ได้มากนัก เพราะไม่เคยผ่านมือเครื่อง M271 ที่โมเพิ่มพลังเลย แต่เห็นเมืองนอก เปลี่ยนพูลเลย์ซุปเปอร์ชาร์จ ใส่ Chip ซิ่ง หรือรีแมพ ก็พอมีบ้างแต่ส่วนมากไม่ค่อยเห็นใครทำระดับมากกว่า 250 แรงม้า ดังนั้นถ้าจะไปเวย์แรง แนะนำว่าจะทำอะไรก็เลือกแบบที่ไม่ต้องจ่ายเกินแสนบาท ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เพราะถ้าต้องจ่ายแสนห้า แบบนั้นมันจะใกล้เคียงการนำเครื่อง C 32 AMG มาวาง คือคุณไปหารถ W203 รุ่นแรกถูกๆ มาวาง จบด้วยม้าที่เยอะกว่า เหนียวกว่า พังตอนอัดยากกว่า (แต่ไม่ใช่ไม่พังเพราะ C 32 เดิมๆ โรงงานก็มีพังให้เห็นบ้างเหมือนกัน)

ทีนี้ ด้านมืดของซิธลอร์ดที่แฝงอยู่ในการคบ C-Class W203 มันก็มีนะครับ ไม่ใช่ไม่มี

ประการแรกคือ วัสดุภายใน C-Class รุ่นนี้ ใช้วัสดุรีไซเคิลและพลาสติกประเภทต้นทุนต่ำเยอะกว่าตัวเก่ามาก มือจับเปิดประตู ช่องแอร์ กาบประตู โครงลายไม้ ของพวกนี้ไปดูในรถหลายๆ คัน มักจะกลับไปหาพ่อที่เยอรมัน (เจ๊ง) กันหมดแล้ว สวิตช์กระจกไฟฟ้า สวิตช์ปรับเบาะ พวกนี้พัง ลอก ชำรุด เป็นเรื่องปกติ จริงอยู่ว่าซ่อมได้ แต่พอโดนหลายจุดเข้า บางทีคุณอาจจะคิดว่าตอนกำเงินสองแสน คุณควรไปซื้อ Camry จบๆ ดีกว่าไหม (แต่ Camry ก็มีคอนโซลละลายนะจ๊ะ) ความต่างถ้าคุณโชคดีก็คือ เจอรถที่เจ้าของจอดในร่มตลอด แบบนั้นอาจมีเปอร์เซ็นต์ได้สภาพภายในดีกว่า แต่ถ้าจอดตากแดดประจำ ยากนักที่จะรอดความโหดของแดดเมืองไทย

เกียร์อัตโนมัติของรุ่นนี้เป็นแบบ 5 จังหวะรุ่นเก่า ซึ่งไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ทนทาน ปัญหาน้อยและซ่อมถูกกว่าพวกรุ่น 7G-Tronic ครับเท่าที่เคยคุยกับช่างเกียร์มา ส่วนที่ต้องดูแลคือซุปเปอร์ชาร์จ บางคนไม่เคยใช้รถมีซุปฯ ต้องบอกว่า คุณต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันซุปเปอร์ชาร์จนะครับ 40,000 กิโลเปลี่ยนที ค่าทำไม่ถึงสองพันบาท อย่าเหนียว เพราะเวลาซุปฯ พัง จ่ายแพงกว่านั้นเยอะ นอกจากนั้นแล้ว เฟืองในตู้แอร์ก็พังได้ เวลาสตาร์ตรถเสร็จเปิดแอร์จะมีเสียงแกร็กๆ ดังออกมา กล่อง ECU คุมเครื่องก็มีพังเป็นเรื่องปกติครับ และที่แสบคือ กล่องฟิวส์ในแดชบอร์ดชอบช็อต ผมไม่ได้พูดเล่น แต่คุณควรซื้อถังดับเพลิงขนาดเล็กติดรถไว้จะดีมาก แม้ไม่ใช่ทุกเคส แต่ก็มีบ้างที่ช็อตแล้วไฟไหม้ครับ ดับไม่ทันก็ได้กินบาร์บีคิวดาว อร่อยลึกถึงน้ำตาเจ้าของ

สำหรับรถคันสีเงินนี้ ต้องขอบคุณรูปและข้อมูลจากคุณตี้ Day Dream Drive ครับ C 230 Kompressor Avantgarde คันนี้ ได้รับการซ่อมเก็บสภาพมาพอสมควรแล้ว ไม่มีรายการชนหนัก สภาพโดยรวมผมให้ 8/10 มีบางจุดที่เจ้าของขี้เกียจเก็บงานต่อเพราะไม่มีเวลา ในภาวะเงินฝืดแบบนี้ ต้องการขายเพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ลองติดต่อไปที่เพจ Car HUB หรือโทร 095-542-6522 (คุณตี้) แล้วคุยราคากันได้ครับ แสนปลายก็ปล่อย จัดไฟแนนซ์เท่าไรยังไงลองคุยกันได้

นี่คือวินาทีที่น่าสงสารคนขายรถมือสอง แต่อย่างที่ผมเคยบอกครับ วิกฤติของอีกคน อาจหมายถึงโอกาสทองของอีกคน สำหรับคนที่กำเงินสองแสนแล้วอยากลองยุโรปสักคันที่จับมาเติมแต่งหน่อยๆ ก็ดูแพงแบบไม่มีใครมาถามว่าตอนซื้อซื้อมากี่ล้าน เพราะมีดาวแล้วก็รู้กัน แถมเป็นเบนซ์แบบที่ดูไม่แก่ พละกำลังดี จุดดีจุดด้อย ก็ตามที่บอกไป ทั้งหมดนี้ ถ้าเป็นปี 2022 คุณอาจต้องจ่ายเกือบสามแสนครับ แต่ ณ วินาทีนี้ เหมือนคุณได้ส่วนลดเอาไปใช้ซ่อมกับเติมน้ำมันวิ่งได้นานโข

Pan Paitoonpong

…