พรีวิวลองขับ MG4 ELECTRIC แฮทช์แบ็คไฟฟ้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ฟิลลิ่งแบบรถสปอร์ต ขับสนุก ลุ้นราคาที่ต่ำกว่าล้าน
MG4 ELECTRIC รถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบแฮทช์แบ็ค ขับเคลื่อนล้อหลังคันแรกจากค่าย MG ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 170 แรงม้า ช่วงล่างดี ขับสนุก ให้ฟิลลิ่งแบบรถสปอร์ต แอบลุ้นราคาให้ต่ำกว่าล้าน
โดย Phalath3 ปีที่แล้ว1.7kผู้อ่าน

หลังจากที่ทาง บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ได้เผยรายละเอียดทั้งรูปลักษณ์หน้า และสเปกขุมพลังของ NEW MG4 Electric รถแฮทช์แบ็คพลังงานไฟฟ้า 100% เวอร์ชั่นที่จะเปิดจำหน่ายในไทยไปแล้ว

พร้อมกับได้เปิดโอกาสให้ลูกค้าจองสิทธิ์ซื้อล่วงหน้า แบบยังไม่ประกาศราคาค่าตัวออกมา ซึ่งราคาค่าตัวนั้นจะถูกเปิดที่ในงาน Motor Expo 2022 ที่จะมีขึ้นเร็ว ๆ นี้

และก่อนที่จะเปิดราคาจำหน่ายออกมานั้น ทาง เอ็มจี ประเทศไทย ก็ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับและสัมผัส MG4 ELECTRIC กันก่อน โดยในครั้งนี้จะเป็นการทดลองสมรรถนะแบบชิมลางแบบเบา ๆ

ในรูปแบบพื้นที่ปิด ในสนามปทุมธานี สปีดเวย์ ส่วนจะเป็นอย่างไรกันบางนั้นทางทีมงาน AutoStation.com ได้รวบรวมมาไว้ให้แล้ว โดยในการทดลองขับในวันนี้จะเน้นในเรื่องของสมรรถนะของตัวรถ รวมถึงระบบช่วงล่าง และระบบขับเคลื่อนที่เป็นแบบขับหลัง ซึ่งจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของทาง MG
ดีไซน์ภายนอกดูสปอร์ต
ก่อนที่จะไปรับรู้ถึงสมรรถนะเล็ก ๆ เรามาทำความรู้จักกับตัวรถกันก่อน MG4 ELECTRIC เป็นรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบแฮทช์แบ็ค 5 ประตู มาพร้อมคอมเซ็ปต์ “ICON” นิยามของการเป็น “ต้นแบบ” และมาตรฐานใหม่ของรถ EV สำหรับหน้าตาจะเป็นแบบเดียวกันทั่วโลกหรือที่เรียกว่า Global Model

ดีไซน์ภายนอกออกแบบตัวรถใหม่แบบ Avant-Garde Inductive Design เน้นความโฉบเฉี่ยวแบบสุด ๆให้ความรู้สึกความรู้ลึกเหมือนรถสปอร์ตราคาระดับหลายล้าน ตัวรถเป็นแบบแฮทช์แบ็ค 5 ประตู ฝากระโปรงที่ออกแบบให้ดูลาดรับกับในส่วนด้านหน้าอย่างลงตัว มาพร้อมไฟหน้า LED Galaxy Technology Matrix Headlights กันชนหน้าเสริมหล่อด้วยช่องรับลมขนาดใหญ่ที่ขอบชายล่าง มาพร้อมชุดไฟสปอร์ตไลท์ที่ออกแบบให้เป็นแนวตั้งที่ช่วยเพิ่มลุคความหล่อคมเข้มให้กับตัวรถ

ขณะที่กระจังหน้ามาแบบปิดทึบตามแบบฉบับรถยนต์ไฟฟ้า โดดเด่นด้วยโลโก้ MG พร้อมติดตั้งกล้องด้านหน้า

เพิ่มเสน่ห์ของความเป็นรถสปอร์ตอย่างชัดเจนด้วยเส้นสายด้านข้างที่โฉบเฉี่ยวมาพร้อมหลังคาที่ลาดเท สอดรับกับล้อแบบ Aero Wheel Cover ขนาด 17 นิ้ว ที่ช่วยในเรื่องแอร์โรไดนามิค


ด้านท้ายของ MG4 จะเป็นอีกจุดที่เมื่อมองต้องสะดุดตา ด้วยสปอยเลอร์หลังแบบ Twin Arrow Wing ที่เป็นแบบเดียวกับบนตัวรถแข่งในสนาม เสริมด้วยไฟเบรกดวงที่ 3 ตรงกลาง ขณะที่ชุดไฟท้ายจะเป็นแบบ LED ลาย Cgynus Symbol Decorative Light ที่พาดยาวตลอดแนวด้านท้าย ที่ออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของสปอยเลอร์ชุดล่างแบบ Duck Trail

ในด้านมิติตัวตัวถัง 4,287 x 1,836 x 1,516 มิลลิเมตร (ยาว x กว้าง x สูง) ระยะความยาวฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 117 มิลลิเมตร
ภายในเรียบง่าย แต่มีเสน่ห์



ด้านภายในห้องโดยสารของได้รับการออกแบบให้ดูเรียบง่ายมา ไม่มีปุ่มสั่งการต่าง ๆ ให้ดูรกตา โดยเฉพาะในส่วนคอนโซลกลางที่ออกแบบให้เป็นแบบลอยตัว หรือที่ทาง MG เรียกว่า Floated Central Control Platform โดยจะถูกวางติดกับคอนโซลหน้า ซึ่งจะมีมีเพียงแป้นหมุนปรับโหมดเกียร์ กับเบรกมือไฟฟ้า และที่ชาร์ตสมาร์ตโฟนเท่านั้น


ขณะที่คอนโซลหน้าจะมากับหน้าจอ 2 ชุดโดยเป็น หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Dual Screen แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ทำงานคู่กับระบบเชื่อมต่อ MG iSMART และรองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto มาพร้อมลำโพง 6 ตำแหน่ง และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันที่เป็นแบบหัวท้ายตัด ที่ให้อารมณ์เหมือนกับพวงมาลัยบนตัวรถแข่ง


ในส่วนเบาะที่นั่งแบบหุ้มหนังสลับผ้า ฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ส่วนฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง ขณะที่เบาะหลังสามารถพับเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้ในสัดส่วน 40:60 น่าเสียดายที่ไม่มีที่วางแขนสำหรับเบาะหลัง รวมถึงมือจับบนเพดานที่ไม่มีการติดตั้งมาให้ แต่เพิ่มอรรถประโยชน์ด้วยการติดช่องใส่ของที่ด้านหลังตัวเบาะคู่หน้า

ด้านวัสดุภายในตกแต่งด้วยวัสดุแบบ Soft Touch ในหลายจุด ที่มาพร้อมพลาสติกแข็งฉีดขึ้นรูป รวมถึงเพิ่มความพรีเมียมด้วยวัสดุสีดำเงาเปียโนแบล็ก
ขุมพลังจัดจ้านพอตัวระดับ 170 แรงม้า

MG4 ELECTRIC จัดเปิดมิติใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ว่าด้วยเป็นรถที่ขับสนุกและเร้าใจกว่าที่เคย มาพร้อมกับแพล็ตฟอร์มใหม่ล่าสุด Nebula Pure Electric Platform ที่ออกแบบสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ด้วยแพลตฟอร์มใหม่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งกับรถไฟฟ้าในทุกรูปแบบของ MG ได้ทั้งหมดในอนาคต


นอกจากนั้นในการจัดวางแบตเตอร์รี่มาในแบบแนวนอน ซึ่งช่วยทำให้การออกแบบแพคแบตเตอรี่มีขนาดที่บางโดยสามารถเก็บไว้ในโครงสร้างของตัวรถได้ โดย MG4 ELECTRIC จะมีความหนาของตัวแบตเตอรี่เพียง 11 ซม. เท่านั้น ซึ่งในส่วนนี้จะช่วยให้สามารถเพิ่มจำนวนเซลแบตเตอร์รี่ได้มากขึ้น

สำหรับชุดมอเตอร์ขับเคลื่อนของ MG4 จะอยู่ที่เพลาหลัง มีขนาด 125Kw หรือ 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ส่วนด้านหน้าจะเป็นชุดระบบปรับอากาศ และบังคับเลี้ยว โดยการจัดวางลักษณะแบบนี้จะทำให้ MG4 กระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 ซึ่งในลักษณะแบบนี้เราจะเห็นได้จากรถสปอร์ตตัวแรงเท่านั้น

มาพร้อมระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ปรับได้ 4 ระดับ ต่ำ, กลาง, สูง และแปรผันตามการขับหรือ (ADAPTIVE) ยิ่งปรับสูงรถจะยิ่งดึงหน่วงมากขึ้นเมื่อยกคันเร่ง มีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ ECO, NORMAL, SPORT, CUSTOM และ SNOW

มาพร้อมชุดแบตเตอรี่ขนาดความจุ 51 kWh สามารถวิ่งในระยะทาง 425 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน รองรับการชาร์จไฟกระแสตรง DC สูงสุด 88kW และการชาร์จแบบเร็วจาก 10% – 80% ในเวลาเพียง 35 นาที พร้อมเปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกรถด้วยระบบ V2L
ลองสมรรถนะรถไฟฟ้าแบบขับหลัง บอกเลยว่ามันส์มาก


หลังจากรับรู้รายละเอียดบางส่วนของตัวรถ ทั้งภายนอกและภายในของ MG4 ELECTRIC กันไปบางแล้ว ถึงเวลาเข้าโหมดทดสอบสมรรถนะ โดยครั้งนี้ทางเอ็มจี ประเทศไทย ได้ปรับสนามปทุมสปีดเวย์ให้กลายเป็นสนามทดสอบแบบเล็ก ๆ แต่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ

ซึ่งงานนี้ต้องยกความดีงามให้กับนักแข่งรถมืออาชีพอย่าง “เอส” นราศักดิ์ อิทธิริทพงษ์ ที่เป็นหัวหน้า instructor ในงานนี้ ที่วางเลย์เอาท์การทดสอบเพื่อให้เค้นสมรรถนะของตัวรถออกมาได้เต็มที่


โดยในรอบแรกทางสื่อมวลชนจะขับตาม instructor เพื่อดูไลน์สนาม ส่วนในรอบต่อมาก็เปลี่ยนเข้าไปนั่งรถคันเดียวกันทาง instructor เพื่อลองของไลน์การวิ่งพร้อมฟังคำอธิบายว่าโค้งไหนต้องเข้าอย่างไร ความเร็ว อยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อที่จะได้เค้นสมรรถระ และดูการตอบสนองของตัวรถอย่างเป็นอย่างไร
ซึ่งในรอบนี้ทางทีมงานได้ปิดระบบ TRC (ระบบป้องกันการลื่นไถล) เพื่อให้ได้สัมผัสของรถขับเคลื่อนล้อหลังว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็ต้องบอกได้คำเดียวว่าว๊าว ตั้งแต้โค้งแรกเพราะว่ารถไฟฟ้านั้นดริฟทเข้าโค้งได้

ซึ่งทาง เอส นราศักดิ์ ได้โชว์ศักยภาพของ MG4 ออกมาให้เราได้เห็นกันอย่างเต็มที่ โดยโชว์ดริฟเข้าโค้งแบบสนุกมือ เพื่อโชว์ประสิทธิภาพการทรงตัวของรถ ว่าสามารถเข้าโค้งแบบอันเดอร์สเตียร์ ได้แต่ต้องอาศัยเทคนิค และความชำนาญในการปรับแต่งพวงมาลัย ทำให้ตัวรถไหลเข้าโค้งได้อย่างนิ่มนวล ให้ความรู้สึกมั่นใจ ว่าตัวรถนั้นเกาะถนนจริง ๆ

ถีงช่วงเวลาทดลองของจริง โดยทางทีมงานปล่อยเวลาให้ขับรอบสนามคนละ 20 นาที เพื่อให้จับความรู้สึกของตัวรถกันอย่างเต็มที่ โดยในการขับทุกรอบจะเปิดระบบ TRC (ระบบป้องกันการลื่นไถล) เพื่อจะให้รับรู้แบบการใช้งานจริงขอคันทั่วไป (ซึ่งถ้ายังไม้่มีความชำนาญ แนะนำให้เปิดระบบไว้ตลอดเวลา)

เมื่อเริ่มออกตัวกดคันเร่งตัวรถถูกกระชากตามแบบฉบับรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องรอรอบ แต่ก็ไม่ถึงกับหงายจนหัวกระแทกเบาะ ตัวรถเข้าโค้งได้ดีเกาะถนน โดยเฉพาะยิ่งเป็นรถแบบขับหลังแบบนี้ จะตอบสนองและให้ความมั่นใจกว่ารถขับหน้า อีกทั้ง MG4 ยังได้รับการออกแบบให้ตัวรถมีการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 ควบคู่กับการออกแบบลักษณะ Low Centre of Gravity ที่ให้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำยิ่งทำให้ตัวรถนั้นเพิ่มการเกาะถนนที่ดีเยี่ยม

ผสานกับระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระแบบ 5-Link Suspension จึงให้ความมั่นใจในการเข้าโค้งรวมถึงซับแรงกระแทกได้อย่างสบาย

ยิ่งได้รับระบบ TRC ที่ป้องกันการลื่นไถลเสริมเข้าไปอีก ยิ่งเพิ่มความมั่นใจในทุกโค้ง ไม่ว่าจะเป็นโค้งแบบหักศอกที่ทางทีมงานออกแบบให้ได้ทดลองตัวรถมีเพียงสะบัดเล็กน้อยเท่านั้นในช่วงความเร็ว 70-80 กม./ชม. แต่ก็ยังสามารถควบคุมรถได้

ส่วนต่อมาในสเตชั่นเลนเชนจ์ ที่ระยะทางระหว่างโค้งค่อนข้างสั้น แต่การได้พวงมาลัยรูปแบบใหม่ DUAL PINION ที่ควบคุมด้วยไฟฟ้าสามารถช่วยให้การตอบสนองได้ดี ควบคุมรถได้อย่างแม่นยำ พวงมาลัยถูกปรับเซทน้ำหนักได้ดี ไม่หนักและเบาจนเกินไป

ปิดท้ายกันด้วยการลองอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ซึ่งจากการทดลองนั้นตัวเลขค่อนข้างใกล้คียงกับทางที่ผู้ผลิตเคลมไว้ที่ 7.7 วินาที รวมถึงระบบเบรกที่มั่นใจทุกการเบรกด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ
สรุปบททดสอบ MG4 ELECTRIC แบบช่วงเวลาสั้น ๆให้อารมณ์สปอร์ตที่ชัดเจน

สำหรับ MG4 ELECTRIC ต้องบอกว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาได้โดนใจ โดยเฉพาะกลุ่มผุ้ที่รักรถแนวรถสปอร์ต รูปลักษณ์หน้าตาที่ดูโฉบเฉี่ยว มาพร้อมกับออปชั่นความปลอดภัยที่จัดมาให้แบบจัดเต็ม แถมวัสดุที่ใช้มีความพรีเมียมเกรดเดียวกับรถในยุโรป

ในด้านสมรรถนะการขับขี่โดยรวมตัวรถเป็นอีกจุดที่น่าประทับใจ อัตราเร่งที่ดี แฮนเดอร์ลิ่งที่มาแบบเพอร์เฟคท์ ด้วยแพล็ตฟอร์มใหม่ล่าสุด Nebula Pure Electric Platform และการออกแบบตัวรถให้สามารถกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 จึงทำให้มี Gravity หรือจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ส่งผลทำให้ตัวรถเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ในทุกช่วงความเร็วในการเข้าโค้ง ผสานกับระบช่วงล่างหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระ 5-Link Suspension ที่สอดรับกันอย่างลงตัว จึงทำให้สามารถคอนโทรลรถได้ง่ายและดีมากขึ้น

ดังนั้นหากสรุปเรื่องของการขับขี่ MG4 ELECTRIC จะเป็นรถแฮทช์แบ็คไฟฟ้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ที่ขับสนุก มาพร้อมฟิลลิ่งแบบรถสปอร์ต ที่ให้อารมณ์สปอร์ตอย่างชัดเจน โดยรวมจัดว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอีกคันที่น่าสนใจมิใช่น้อย

แต่บทสุรปสุดท้ายคงต้องไปดูในเรื่องราคาค่าตัวที่จะเปิดในงาน Motor Expo 2022 ยิ่งข่าวจากวงในลือออกมาว่าจะเปิดราคาในเรตที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท งานนี้ต้องบอกว่าแตกรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทย แตกอีกรอบแน่

สำหรับใครที่รักรถแนวสปอร์ตและอยากมีรถยนต์ไฟฟ้าไว้ครอบครอบอักสักคัน MG4 ELECTRIC คันนี้เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียวครับ
See more
- บทความก่อนหน้าHurtan Grand Albaycin รุ่นพิเศษ สร้างขึ้นบนพื้นฐาน Mazda MX-5 มีแค่ 6 คันเท่านั้น !
- บทความถัดไปKIA EV6 รถยนต์ไฟฟ้าขุมพลัง 585 แรงม้า เตรียมโชว์ตัวในไทยที่งาน Motor Expo 2022
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
- MG, รถยนต์, รถใหม่ในไทย, ไฮไลท์ข่าวเด่นเอ็มจี ปรับลดราคา MG4 Electric รุ่น D ลงสูงสุด 150,000 บาท เหลือราคาเริ่มที่ 5.59 แสนบาท
- MG, รถยนต์, รถใหม่ในไทย, ไฮไลท์ข่าวเด่นMG4 Electric รุ่น D จัดโปรโมชันต่อ รับส่วนลด 110,000 บาท เหลือเพียง 5.99 แสนบาท
เกี่ยวกับเรา
Autostation.com ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางในโลกอุตสาหกรรมยานยนต์ของผู้อ่านทุกคน มีอะไรติดตามพวกเราได้ทางช่องทางหลากหลายด้านบน สามารถพูดคุย ติชม และให้กำลังใจทีมงานได้ตลอดเวลา
รับชมเราบน YouTube
ติดต่อเรา
อีเมล์: pimnada.s@smoothlane.com
ติดต่อโฆษณา: 0971695599
© 2025 Autostation. All Right Reserved.
![[ครบชุด] 1010332 เบื่อเมียตัวเองจะหย่าให้ได้ แต่ต้องตามใจเมีย7วัน สุดท้ายจะ](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-740.png)
![[ครบชุด] 1010333 อิจฉาว่าที่น้องสะใภ้จนเจอดี เห็นสวยๆนึกว่าจะโง่](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-741.png)