เจาะลึก Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ปี 2025: ยังคงเป็น ‘ราชาดีเซล’ ในสมรภูมิกระบะเดือดหรือไม่?
ตลาดรถยนต์กระบะในประเทศไทยปี 2025 กำลังเข้าสู่ยุคที่ท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยกระแสรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มาแรง และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำขึ้นทุกวัน ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายและซับซ้อนกว่าเดิมมาก ท่ามกลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยการแข่งขันสูงนี้ หนึ่งในชื่อที่ยังคงยืนหยัดและได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนานอย่าง Isuzu D-Max ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะรุ่น Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ขนาด 2.2 ลิตร ซึ่งเปิดตัวมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มองหาสมรรถนะที่เหนือกว่า 1.9 ลิตร แต่ยังคงไว้ซึ่งความประหยัดและดูแลรักษาง่าย ผมในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการรถยนต์กระบะมากว่า 10 ปี จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของกระบะรุ่นนี้ เพื่อไขข้อข้องใจว่า Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ในปี 2025 นี้ ยังคงเป็นตัวเลือกที่ “ใช่” สำหรับคุณจริงหรือไม่
Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L: หัวใจใหม่ที่แข็งแกร่ง
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจถึงจุดเด่นหลักของ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 รุ่นนี้กันก่อน นั่นคือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนรถคันนี้ – เครื่องยนต์ดีเซลรหัส RZ4F-TC ขนาด 2.2 ลิตร (2,164 ซีซี) แบบ 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว DOHC Commonrail Direct Injection พร้อมเทอร์โบแปรผันแบบครีบ E-VGS และ Intercooler รวมถึง Electronic Wastegates พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที ซึ่งจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Sequential Shift พร้อม Manual Mode (+/-) ขับเคลื่อน 2 ล้อ รองรับน้ำมันสูงสุดดีเซล B20 และมาพร้อมระบบ DPF (Diesel Particulate Filter Regeneration) ที่ช่วยในการทำความสะอาดคราบเขม่า
จากประสบการณ์การทดสอบและใช้งานจริงกับรถ Isuzu D-Max หลายรุ่น รวมถึงการติดตามผลตอบรับจากผู้ใช้งานจริงมานานนับทศวรรษ ผมยืนยันได้ว่าเครื่องยนต์ 2.2 MAXFORCE นี้เป็นก้าวสำคัญของ Isuzu ที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างระหว่างเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร Blue Power ที่เน้นความประหยัด กับเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรที่เน้นกำลังสูงสุดอย่างแท้จริง สิ่งที่โดดเด่นอย่างชัดเจนคือ อัตราเร่งที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับรุ่น 1.9 ลิตร ไม่ว่าจะเป็นการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง การเร่งแซงบนถนนสองเลน หรือการไต่ทางชัน ตัวเลขแรงม้าและแรงบิดที่เพิ่มขึ้น ล้วนส่งผลให้การตอบสนองของคันเร่ง “ทันใจ” และ “กดเป็นมา” มากกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
เทคโนโลยีเทอร์โบแปรผัน E-VGS (Electronic Variable Geometry System) ที่ผสานกับการควบคุมด้วย Electronic Wastegates ทำงานได้อย่างชาญฉลาด ช่วยให้การเรียกแรงบิดมาใช้งานทำได้เร็วขึ้นและต่อเนื่องในรอบเครื่องยนต์ที่กว้างขึ้น นั่นหมายความว่าคุณจะสัมผัสได้ถึงพละกำลังที่พร้อมใช้งานตั้งแต่รอบต่ำไปจนถึงรอบสูง ทำให้การขับขี่ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นในเมืองที่ต้องเร่งสลับเบรกบ่อยครั้ง หรือการเดินทางไกลที่ต้องการอัตราเร่งเพื่อแซงรถคันอื่น ทำได้อย่างมั่นใจและไร้กังวล ระบบ DPF เองก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ เพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง Isuzu ได้ปรับปรุงให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาจุกจิกที่อาจเกิดขึ้นกับระบบนี้ในระยะยาว
การที่รถกระบะ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L สามารถรองรับน้ำมันดีเซล B20 ได้ ถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในยุคที่ราคาน้ำมันมีความผันผวนสูง เพราะ B20 มักจะมีราคาที่ย่อมเยากว่าน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม ช่วยให้เจ้าของรถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการตอกย้ำจุดแข็งด้าน “ความประหยัด” ที่ Isuzu ยึดมั่นมาโดยตลอด
มิติและสุนทรียภาพในการใช้งาน
ในฐานะรถกระบะ 4 ประตู (CAB4) Isuzu D-Max Hi-Lander MAXFORCE มีมิติตัวถังที่ลงตัวสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานส่วนตัวหรือเพื่อการพาณิชย์:
ยาว: 5,265 มิลลิเมตร
กว้าง: 1,870 มิลลิเมตร
สูง: 1,790 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ Wheelbase: 3,125 มิลลิเมตร
ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance: 240 มิลลิเมตร
ขนาดตัวถังที่กว้างขวางให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารที่สะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารทั้ง 4-5 คน โดยเฉพาะห้องโดยสารด้านหลังที่ออกแบบให้มีพื้นที่วางขาและศีรษะที่เพียงพอสำหรับการเดินทางระยะไกล กระบะท้ายก็มีพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่มากพอสำหรับการขนย้ายสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กีฬา เครื่องมือ หรือสินค้าเชิงพาณิชย์ ระยะต่ำสุดถึงพื้น 240 มิลลิเมตร ทำให้รถคันนี้มีความสามารถในการลุยที่ค่อนข้างดี สามารถขับผ่านเส้นทางทุรกันดารเล็กน้อย หรือลุยน้ำท่วมขังที่ไม่สูงมากได้อย่างมั่นใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับรถกระบะใช้งานในสภาพถนนของประเทศไทย
ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ เพื่อความนุ่มนวลและประสิทธิภาพ
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ส่งเสริมสมรรถนะของเครื่องยนต์ 2.2 MAXFORCE คือเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Sequential Shift การมีจำนวนเกียร์ที่มากขึ้นช่วยให้การถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์เป็นไปอย่างต่อเนื่องและราบรื่นยิ่งขึ้น คุณจะสัมผัสได้ถึง การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลกว่าเดิม อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองที่ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อยครั้ง หรือการเดินทางไกลที่เน้นความต่อเนื่องของรอบเครื่องยนต์
จากการทดสอบใช้งานจริง ทั้งในเมืองและนอกเมือง ผมพบว่าเกียร์ 8 จังหวะนี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการรักษารอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในช่วงที่มีแรงบิดสูง ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ต่อเนื่องและประหยัดน้ำมันในขณะทำความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม ในบางจังหวะของการขับขี่ในเมืองที่ความเร็วต่ำและมีการเร่ง-ชะลอสลับกันไป อาจมีอาการ “กระตุก” เล็กน้อยในช่วงการเปลี่ยนเกียร์ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการขับขี่แต่อย่างใด ถือเป็นลักษณะเฉพาะที่พบได้ในรถกระบะเกียร์อัตโนมัติหลายรุ่น และ Isuzu ได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนๆ อย่างต่อเนื่องตลอดมาจนถึงปี 2025 นี้
ช่วงล่าง: จุดยืนที่แตกต่างของ Isuzu
เมื่อพูดถึงช่วงล่างของ Isuzu D-Max มักเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน หลายคนอาจมองว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด Isuzu มีช่วงล่างที่ค่อนข้าง “นุ่มนวล” หรือออกแนว “เด้งนุ่ม” ในความเร็วต่ำ และอาจมีอาการ “ลอยๆ” บ้างเมื่อใช้ความเร็วสูงมาก ซึ่งอาจจะต้องใช้ความคุ้นเคยในการควบคุมเป็นพิเศษ หากคุณเป็นนักขับที่เน้นความเร็วสูงเป็นหลัก
แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมอยากให้มองในอีกมุมหนึ่งว่านี่คือ ปรัชญาการออกแบบของ Isuzu ที่เน้นความสบายในการใช้งาน และความสามารถในการบรรทุก เป็นสำคัญ Isuzu D-Max ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “รถกระบะใช้งานได้จริง” ที่สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้ดี ให้ความนุ่มนวลและสบายแก่ผู้โดยสารสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการขับไปทำงาน การรับส่งครอบครัว หรือการขนของ การเซ็ตช่วงล่างในลักษณะนี้จึงตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานส่วนใหญ่ของกระบะ Isuzu ได้อย่างตรงจุด
สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามและเป็น จุดแข็งที่แท้จริงของ Isuzu คือ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาช่วงล่างที่ต่ำมาก อะไหล่ช่วงล่างของ Isuzu มีราคาที่เข้าถึงง่ายและหาได้ทั่วไปในท้องตลาด ตัวอย่างเช่น โช้คอัพทั้ง 4 ต้น มักจะมีราคาไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งบางรายอย่างเห็นได้ชัด นั่นหมายความว่า แม้คุณจะใช้งานรถไปนานหลายปี และจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไหล่ช่วงล่าง เช่น โช้คอัพ ลูกหมาก หรือบุชต่างๆ ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาจะไม่เป็นภาระหนักทางการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Isuzu D-Max มี “ความคุ้มค่า” ในระยะยาวและเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ประกอบการและผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการความทนทานและประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
ดังนั้น หากคุณเป็นผู้ที่ขับขี่รถกระบะเป็นประจำ คุ้นเคยกับฟีลลิ่งของรถกระบะที่เน้นความนุ่มนวล และให้ความสำคัญกับความประหยัดในการบำรุงรักษา ช่วงล่างของ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE จะเป็นสิ่งที่ “รับได้” และตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อย่างดีเยี่ยม แต่หากคุณเป็นนักซิ่งที่ต้องการสมรรถนะการเข้าโค้งระดับรถเก๋ง หรือต้องการความหนึบแน่นในความเร็วสูงตลอดเวลา การลงทุนกับการอัปเกรดช่วงล่างในอนาคตก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ และด้วยราคาอะไหล่ที่ถูก ทำให้การปรับแต่งช่วงล่างสำหรับ Isuzu ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้งบประมาณสูงจนเกินไปนัก
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ ADAS: เทคโนโลยีที่กำลังเรียนรู้
ในยุค 2025 เทคโนโลยีความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง หรือ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) กลายเป็นมาตรฐานสำคัญที่รถยนต์รุ่นใหม่ต้องมี Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE ก็มาพร้อมนวัตกรรมกล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera ที่เป็นหัวใจหลักของระบบ ADAS ต่างๆ เช่น ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning) พร้อมระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Autonomous Emergency Braking – AEB)
จากประสบการณ์ใช้งานจริง ต้องยอมรับว่านี่เป็นสิ่งใหม่สำหรับ Isuzu และยังคงมีพัฒนาการที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ในบางสถานการณ์ ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติอาจมีการทำงานที่ “ละเอียดอ่อน” เกินไป เช่น ในสภาพการจราจรที่หนาแน่นของประเทศไทย ซึ่งมักจะมีรถจักรยานยนต์หรือรถคันอื่นเข้ามาปาดหน้าอย่างกะทันหัน หรือการขับขี่ในช่องทางที่แคบ ระบบอาจมีการเบรกเองอย่างรุนแรง ทั้งที่เรายังคงควบคุมรถอยู่และไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินจริงๆ ซึ่งอาจสร้างความตกใจให้กับผู้ขับขี่และอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงจากรถคันหลังได้
สำหรับผู้ใช้งาน ผมแนะนำให้ทำความเข้าใจและเรียนรู้การทำงานของระบบอย่างละเอียด การเปิดใช้งานในสถานการณ์ที่เหมาะสม และการปิดระบบชั่วคราวเมื่อขับขี่ในสภาพการจราจรที่ซับซ้อน หรือในบริเวณที่มีการก่อสร้างหรือสิ่งกีดขวางที่ไม่ปกติ ถือเป็นเรื่องที่ผู้ขับขี่ต้องพิจารณา Isuzu เองก็ตระหนักถึงการปรับปรุงและพัฒนาระบบ ADAS ให้มีความฉลาดและแม่นยำมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาพการจราจรในประเทศไทยมากที่สุดในอนาคตอันใกล้ และเราคาดหวังว่าในปี 2025 นี้ จะมีการอัปเดตซอฟต์แวร์หรือการปรับจูนที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้ดียิ่งขึ้น
นอกเหนือจากระบบ FCW และ AEB แล้ว โดยปกติแล้ว Isuzu D-Max ในรุ่นท็อปๆ ยังมาพร้อมกับระบบ ADAS อื่นๆ เช่น ระบบเตือนการออกนอกเลน (Lane Departure Warning), ระบบเตือนการจราจรตัดขวางด้านหลัง (Rear Cross Traffic Alert), และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเดินทางไกลบนทางหลวง ระบบเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ และเพิ่มความมั่นใจในทุกการเดินทาง
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง: ประหยัดจริงในการใช้งานจริง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผู้ใช้รถกระบะให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ “ความประหยัดน้ำมัน” และ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง จากการทดสอบใช้งานจริงในหลากหลายสภาพการขับขี่ ทั้งในเมือง นอกเมือง และการเดินทางไกล สามารถทำ อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยได้ถึง 14.4 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยมสำหรับรถกระบะเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ที่มีพละกำลังสูงเช่นนี้
การที่สามารถทำตัวเลขได้ขนาดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 MAXFORCE ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี ผนวกกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะที่ทำงานได้อย่างเหมาะสมในการรักษารอบเครื่องยนต์ และการออกแบบแอโรไดนามิกของตัวรถที่ดี อัตราสิ้นเปลือง 14.4 กม./ลิตร นี้หมายความว่าคุณจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้เป็นอย่างมากในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีการใช้งานรถบ่อยครั้งหรือขับขี่ในระยะทางไกลเป็นประจำ ถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L เป็นตัวเลือกที่ “คุ้มค่า” และ “ประหยัดค่าใช้จ่าย” ได้อย่างแท้จริงในตลาดรถกระบะปี 2025
สรุป: ใครคือผู้ที่เหมาะกับ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ปี 2025?
ในโลกของรถกระบะปี 2025 ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและทางเลือกใหม่ๆ อย่างรถกระบะไฟฟ้า หรือไฮบริด Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ยังคงยืนหยัดในฐานะตัวเลือกที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ ด้วยจุดเด่นที่ชัดเจน:
เครื่องยนต์ 2.2 MAXFORCE ที่ให้พละกำลังและอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม ตอบสนองทันใจในการใช้งานจริง ไม่เป็นรองใครในกลุ่มเครื่องยนต์ดีเซลขนาดกลาง
ความประหยัดน้ำมันที่โดดเด่น ด้วยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่น่าประทับใจ
เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะที่นุ่มนวล ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่
ค่าบำรุงรักษาและอะไหล่ที่เข้าถึงง่ายและประหยัด ทำให้เป็นรถกระบะที่คุ้มค่าในระยะยาว
ห้องโดยสารกว้างขวางและใช้งานได้หลากหลาย เหมาะสำหรับทั้งการใช้งานส่วนตัวและเชิงพาณิชย์
หากคุณกำลังมองหารถกระบะ 4 ประตู ที่เน้นการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ต้องการรถที่มีกำลังเหลือเฟือสำหรับการขับขี่ในเมืองและเดินทางไกล ให้ความสำคัญกับความประหยัดน้ำมันเป็นอันดับต้นๆ และที่สำคัญที่สุดคือต้องการรถที่มี ความทนทาน ดูแลรักษาง่าย และมีค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของที่ต่ำ ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไหล่ หรือค่าซ่อมบำรุงที่บานปลายในระยะยาว Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ในปี 2025 นี้ คือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณอย่างแน่นอน แม้ระบบ ADAS อาจยังต้องการการปรับปรุงในบางมิติ แต่โดยรวมแล้ว ฟังก์ชันหลักที่สำคัญที่สุดของรถกระบะคือการเป็นยานพาหนะที่แข็งแกร่ง ทนทาน และคุ้มค่า Isuzu คันนี้ก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ
คำเชิญชวน
การตัดสินใจซื้อรถยนต์เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่ไม่มีรีวิวใดจะสมบูรณ์แบบเท่ากับการที่คุณได้สัมผัสและทดลองขับด้วยตัวเอง เราขอเชิญชวนคุณสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L รุ่นปี 2025 ด้วยตัวคุณเองที่ศูนย์บริการ Isuzu ใกล้บ้าน เพื่อให้คุณได้พิสูจน์ถึงพละกำลัง ความประหยัด และความสบายในการขับขี่ที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมด และค้นพบว่านี่คือรถกระบะที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคุณในปี 2025 ได้อย่างแท้จริงหรือไม่
![[ครบชุด] PI10149 นันท์ทำไมถึงต้องถอดเสื้อ ภัยอันตรายจากคนแปลกหน้า](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-962.png)
![[ครบชุด] PI10150 จะซื้อกระเป๋าแค่ใบเดียว ถึงขั้นต้องให้พ่อขายบ้าน ดูให้จบ กระดิ่งสตูดิโอ](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-963.png)