เจาะลึก Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ปี 2025: กระบะพันธุ์แกร่งที่เข้าใจคนไทยในทุกมิติ
ในฐานะผู้คลุกคลีอยู่ในวงการยานยนต์และรถกระบะมานานกว่าทศวรรษ ผมเฝ้าสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดรถกระบะในประเทศไทยมาโดยตลอด ตลาดที่เคยเฟื่องฟูอย่างต่อเนื่อง เริ่มแสดงสัญญาณของการปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกและความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อนขึ้นในปี 2025 นี้ ผู้ผลิตต่างต้องงัดกลยุทธ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ มานำเสนออย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้ และหนึ่งในผู้เล่นที่ยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งและน่าจับตาเสมอมาก็คือ Isuzu D-Max โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่น Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE ที่มาพร้อมกับขุมพลังใหม่ขนาด 2.2 ลิตร ซึ่งวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปเจาะลึกว่า “อีซูซุ ดีแมคซ์ ไฮแลนเดอร์” รุ่นนี้ ยังคงความน่าสนใจและเป็นคำตอบของคนไทยในยุคปัจจุบันได้ดีแค่ไหน
การเปิดตัวเครื่องยนต์ใหม่ ดีเซล 2.2 MAXFORCE E-VGS ใน Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 เป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญของอีซูซุ เพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่างเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร Blue Power ที่เน้นความประหยัด และ 3.0 ลิตร ที่เน้นพละกำลังสูงสุด เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร จึงถูกวางตำแหน่งให้เป็น “จุดสมดุล” ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการบรรทุก การเดินทางระยะไกล หรือแม้แต่การขับขี่ในเมือง โดยยังคงรักษาจุดเด่นเรื่องความประหยัดน้ำมันและค่าบำรุงรักษาในระยะยาว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้อีซูซุครองใจผู้ใช้ชาวไทยมาอย่างยาวนาน
สำหรับรุ่นที่เรานำมาพิจารณาในบทความนี้คือ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 2.2 ZP 8AT ซึ่งมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,064,000 บาท ตัวเลขนี้สะท้อนถึงการวางตำแหน่งของรถกระบะอเนกประสงค์ที่มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยที่ครบครัน ซึ่งเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของทั้งผู้ประกอบการและผู้ใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป
มิติและดีไซน์: ความลงตัวของฟังก์ชันและความงาม
เริ่มต้นจากการพิจารณามิติตัวถังของ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 ที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบโจทย์ทั้งการใช้งานและความสวยงาม ขนาดตัวถัง ยาว 5,265 มิลลิเมตร, กว้าง 1,870 มิลลิเมตร และสูง 1,790 มิลลิเมตร ให้ความรู้สึกบึกบึน แข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงความทันสมัยด้วยเส้นสายที่คมชัด ระยะฐานล้อ Wheelbase 3,125 มิลลิเมตร ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อการทรงตัวบนความเร็วสูง แต่ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารให้กว้างขวาง นั่งสบาย เหมาะกับการเดินทางของครอบครัว ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance 240 มิลลิเมตร เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของรถกระบะยกสูงอย่าง Hi-Lander ที่ช่วยให้มั่นใจได้เมื่อต้องขับขี่บนเส้นทางที่ไม่ราบเรียบ หรือต้องลุยน้ำท่วมขังในบางสถานการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสภาพถนนในประเทศไทย
ในส่วนของดีไซน์ภายนอก Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE ยังคงเอกลักษณ์ของ “รถกระบะตัวจริง” ที่ดูทันสมัยและดุดัน ไฟหน้า Bi-LED Projector พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED (Daytime Running Light) ไม่เพียงแต่ให้ความสว่างที่ยอดเยี่ยม แต่ยังเพิ่มความโดดเด่นและปลอดภัย ไฟท้าย LED Dual Sonic ที่ออกแบบมาให้ดูโฉบเฉี่ยว กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ผสานกับชุดแต่งรอบคันสไตล์ MAXFORCE ยิ่งทำให้รถดูสปอร์ตและพรีเมียมมากขึ้น การออกแบบโดยรวมสะท้อนปรัชญา “Bold & Dynamic” ที่อีซูซุต้องการสื่อถึง ทั้งหมดนี้ทำให้ Isuzu D-Max Hi-Lander ยังคงเป็น “รถกระบะยอดนิยม 2025” ที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง
ภายในห้องโดยสารของ CAB4 หรือกระบะ 4 ประตู ถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานแบบอเนกประสงค์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เบาะนั่งที่โอบกระชับและปรับตำแหน่งได้อย่างเหมาะสม ช่วยลดความเมื่อยล้าระหว่างการเดินทางไกล พื้นที่ Legroom และ Headroom ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีความกว้างขวาง สามารถโดยสารผู้ใหญ่ 5 คนได้อย่างสบายๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับ “รถกระบะครอบครัว” การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพดีขึ้น ทั้งพลาสติกเนื้อนุ่มในบางจุด และการตกแต่งด้วยโครเมียม/สีเงินด้าน ทำให้บรรยากาศภายในดูหรูหรากว่ารถกระบะเพื่อการพาณิชย์ทั่วไป ระบบ Infotainment หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto Wireless ช่วยให้การเชื่อมต่อและเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เป็นไปอย่างง่ายดาย ปุ่มควบคุมต่างๆ ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและใช้งานง่าย สะท้อนถึงการออกแบบที่เน้น Ergonomics เป็นสำคัญ
ขุมพลังใหม่ 2.2 MAXFORCE E-VGS: สมรรถนะที่ใช่ในแบบที่ต้องการ
หัวใจสำคัญของการรีวิวในครั้งนี้คือเครื่องยนต์ดีเซล รหัส RZ4F-TC ขนาด 2.2 ลิตร (2,164 ซีซี) 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว DOHC Commonrail Direct Injection พร้อมเทอร์โบแปรผันแบบครีบ E-VGS และ Intercooler รวมถึงระบบ Electronic Wastegates ที่ควบคุมการทำงานของเทอร์โบได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ขุมพลังนี้มอบพละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที ตัวเลขเหล่านี้อาจไม่ได้ดูหวือหวาที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งบางราย แต่จากประสบการณ์กว่าสิบปีในการทดสอบรถ ผมกล้ายืนยันว่า “สมรรถนะ D-Max 2.2” คันนี้ถูกจูนมาให้ใช้งานได้จริงและมีประสิทธิภาพสูงสุด
การจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Sequential Shift พร้อม Manual Mode (+/-) ถือเป็นการอัพเกรดครั้งสำคัญที่ส่งผลต่อ “รีวิว Isuzu D-Max Hi-Lander” ในเชิงบวกอย่างมหาศาล จากการทดสอบใช้งานจริงบนเส้นทางที่หลากหลาย ทั้งในเมือง นอกเมือง และการเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเมตร สิ่งที่สัมผัสได้ชัดเจนคือ “อัตราเร่งที่ดี” ซึ่งทำได้ดีกว่าเครื่องยนต์ 1.9 ลิตรอย่างเห็นได้ชัด การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งทำได้อย่างกระฉับกระเฉง และที่สำคัญคือ “อัตราเร่งแซง” ในช่วงความเร็ว 80-120 กม./ชม. ที่ให้ความมั่นใจได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ต้องลุ้นนานเมื่อต้องการแซงรถบรรทุกหรือรถคันอื่น การตอบสนองของเครื่องยนต์ที่มาพร้อมแรงบิด 400 นิวตันเมตรตั้งแต่รอบต่ำเพียง 1,600 รอบ/นาที ทำให้รถมีกำลังสำรองเหลือเฟือ ไม่ว่าจะเป็นการปีนทางชัน หรือการบรรทุกสัมภาระเต็มพิกัด
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะใหม่นี้ทำงานได้อย่างนุ่มนวลและชาญฉลาด การเปลี่ยนเกียร์ทำได้ไหลลื่นแทบไม่รู้สึก ทำให้การขับขี่ในเมืองที่ต้องมีการเร่งและชะลอบ่อยครั้งเป็นไปอย่างสบาย ในช่วงความเร็วสูงบนทางหลวง เกียร์ 8 จังหวะช่วยรักษารอบเครื่องยนต์ให้ต่ำลง ส่งผลดีต่อ “อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน” และลดเสียงรบกวนในห้องโดยสารลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์การใช้งานที่ละเอียดถี่ถ้วน ผมสังเกตพบว่าในบางจังหวะของการขับขี่ในเมืองที่ความเร็วต่ำมากๆ และมีการเร่ง-เบรกสลับกันไป อาจมีอาการ “กระตุก” เพียงเล็กน้อยในช่วงเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้กับระบบเกียร์อัตโนมัติที่มีจำนวนจังหวะเยอะ และต้องการการปรับจูนซอฟต์แวร์ให้เข้ากับพฤติกรรมการขับขี่ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งโดยรวมแล้วถือเป็นข้อสังเกตเล็กน้อยที่ไม่ได้บดบังประสิทธิภาพโดยรวมของชุดส่งกำลังนี้
เรื่อง “ความประหยัดน้ำมัน” ถือเป็นจุดเด่นที่ไม่ควรมองข้ามของ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 2.2 MAXFORCE คันนี้ จากการทดสอบใช้งานจริงในสภาพการขับขี่แบบผสมผสาน ทั้งการจราจรติดขัดในเมืองและทางหลวงระยะไกล ผมสามารถทำตัวเลขเฉลี่ยได้ถึง 14.4 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจอย่างยิ่งสำหรับรถกระบะในพิกัดนี้ สะท้อนให้เห็นว่า Isuzu ยังคงรักษาจุดแข็งในการเป็น “รถกระบะประหยัดน้ำมัน” ได้อย่างไม่มีข้อกังขา การที่เครื่องยนต์รองรับน้ำมันดีเซล B20 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และมาพร้อมระบบ DPF (Diesel Particulate Filter Regeneration) สำหรับทำความสะอาดคราบเขม่า ยังช่วยให้การดูแลรักษาง่ายขึ้น และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงในระยะยาวอีกด้วย
ช่วงล่างและการขับขี่: นุ่มสบายสไตล์อีซูซุ
เมื่อพูดถึงช่วงล่างของอีซูซุ หลายท่านที่เคยขับขี่รถกระบะยี่ห้ออื่นอาจมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป หากเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่เน้นความสปอร์ตและความหนึบในการเข้าโค้งอย่างดุดัน อีซูซุอาจจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่เน้นความ “นุ่มสบาย” มากกว่า ซึ่งสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ขับขี่รถกระบะมานาน จะเข้าใจดีว่านี่คือ “คาแรคเตอร์” ของอีซูซุที่เน้นการใช้งานแบบครอบคลุม
จากการทดสอบ ผมพบว่าช่วงล่างของ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ยังคงรักษาบุคลิกนี้ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ในความเร็วต่ำ ตัวรถจะออกแนวนุ่มนวล ซับแรงสะเทือนจากพื้นผิวถนนได้ดีเยี่ยม ทำให้การขับขี่ในเมืองหรือบนถนนที่ไม่เรียบเป็นไปอย่างผ่อนคลาย ผู้โดยสารจะรู้สึกสบาย ไม่กระด้าง เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันและเป็น “รถกระบะขับสบาย” สำหรับการเดินทางไกล
อย่างไรก็ตาม สำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วสูงมาก หรือการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ตัวรถอาจมีอาการ “ลอยๆ” หรือโคลงตัวให้สัมผัสได้บ้าง ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทักษะในการควบคุมที่แม่นยำขึ้นเล็กน้อย นี่คือจุดที่อีซูซุเลือกที่จะแลกเปลี่ยนความหนึบแบบรถสปอร์ตไปกับการมอบความนุ่มนวลและสามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้ดีในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นปรัชญาการออกแบบที่อีซูซุเชื่อมั่นและผู้ใช้งานอีซูซุส่วนใหญ่ยอมรับได้
แต่สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามและเป็น “จุดแข็ง” ที่แท้จริงของอีซูซุคือเรื่อง “ค่าบำรุงรักษา Isuzu” และ “อะไหล่ Isuzu ราคา” ช่วงล่างของอีซูซุนั้นได้รับการยอมรับมานานเรื่องความทนทาน และเมื่อถึงเวลาที่ต้องซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนอะไหล่ ราคาอะไหล่ช่วงล่างของอีซูซุนั้น “ถูกมาก” หากเทียบกับคู่แข่งในตลาด ยกตัวอย่างเช่น โช้คอัพทั้ง 4 ต้น อาจมีราคาไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น จุดนี้เองที่ทำให้อีซูซุเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการ “รถกระบะที่ดูแลรักษาง่าย” และไม่ต้องการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูงในระยะยาว ซึ่งส่งผลดีต่อ Total Cost of Ownership (TCO) หรือต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของรถ
ระบบความปลอดภัยและ ADAS: เทคโนโลยีที่ต้องการการปรับจูนเพื่อคนไทย
Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง หรือ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) ที่อีซูซุพัฒนาขึ้น โดยมีนวัตกรรม “กล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera” เป็นหัวใจสำคัญ เทคโนโลยีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning) พร้อมระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Autonomous Emergency Braking – AEB), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับระยะได้ (Adaptive Cruise Control), ระบบเตือนการออกนอกเลน (Lane Departure Warning) และอื่นๆ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมต้องยอมรับว่าการนำเทคโนโลยี ADAS เข้ามาติดตั้งในรถกระบะนั้นเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นในยุค 2025 แต่จากประสบการณ์การใช้งานจริงในสภาพการจราจรของประเทศไทย ผมพบว่าการทำงานของ ADAS ใน Isuzu ยังคงต้องการ “การปรับจูน (Calibration)” ให้เข้ากับบริบทการขับขี่ของคนไทยมากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ หรือระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า ในบางครั้งที่รถคันหน้าเบรกกระทันหัน แต่เรายังคงควบคุมสถานการณ์ได้ และคาดว่าจะเบรกได้ทัน ระบบอาจทำงานโดยการเบรกอย่างรุนแรงโดยที่ผู้ขับขี่ยังไม่ได้ต้องการ ซึ่งอาจสร้างความตกใจและมีโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้รถคันหลังชนท้ายได้ รวมถึงสภาพการจราจรในเมืองไทยที่มีรถตัดหน้า หรือแทรกเข้ามาในเลนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ในบางสถานการณ์ ระบบอาจตีความผิดพลาดและทำงานโดยไม่จำเป็น ซึ่งผู้ขับขี่บางรายอาจเลือกที่จะ “ปิดระบบ” เหล่านี้ไปเพื่อความสบายใจในการขับขี่ ซึ่งเป็นจุดที่อีซูซุอาจจะต้องทำการบ้านเพิ่มเติมในการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้มีความฉลาดและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้ากับพฤติกรรมการขับขี่บนท้องถนนเมืองไทยได้อย่างลงตัว
อย่างไรก็ตาม ระบบความปลอดภัยพื้นฐานอื่นๆ เช่น ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง, ระบบเบรก ABS, EBD, BA, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA ยังคงทำงานได้อย่างไร้ที่ติ และเป็นมาตรฐานที่รถยนต์ยุคใหม่พึงมี ซึ่งให้ความมั่นใจในด้านความปลอดภัยโดยรวม
สรุป: Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ปี 2025 คุ้มค่าหรือไม่?
จากการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ยาวนาน ผมยืนยันได้ว่า Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ในปี 2025 นี้ ยังคงเป็นตัวเลือกที่ “น่าสนใจอย่างยิ่ง” และ “คุ้มค่า” สำหรับผู้ที่มองหา “รถกระบะ” ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ครบวงจร
หากคุณเป็นผู้ที่ต้องการรถกระบะที่เน้นการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งการเดินทางส่วนตัว การทำงาน หรือการเป็น “รถกระบะครอบครัว” ที่ให้ความอเนกประสงค์ มีพละกำลังที่ดีจากเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ที่มาพร้อม “อัตราเร่งที่ดี” และ “ประหยัดน้ำมัน” ในระดับที่น่าประทับใจ รวมถึงช่วงล่างที่ให้ความ “นุ่มสบาย” แม้จะไม่ได้หนึบเท่าคู่แข่งบางราย แต่ก็ชดเชยด้วย “ค่าบำรุงรักษา Isuzu” ที่ต่ำ “อะไหล่ Isuzu ราคาถูก” และชื่อเสียงด้านความทนทาน ทำให้ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 คันนี้ “ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการกังวลกับภาระค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของรถในระยะยาว
แม้จะมีข้อสังเกตเล็กน้อยเรื่องการปรับจูนระบบ ADAS ให้เข้ากับสภาพการจราจรไทย รวมถึงบุคลิกช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวล แต่จุดแข็งที่อีซูซุมีนั้นแข็งแกร่งและชัดเจนมากพอที่จะทำให้ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L ยังคงเป็นหนึ่งใน “รถกระบะยอดนิยม 2025” ที่ครองใจผู้ใช้ชาวไทยได้อย่างเหนียวแน่น และเป็นตัวเลือกที่มั่นคงในตลาดที่ผันผวนนี้
หากคุณกำลังพิจารณา “ซื้อรถกระบะใหม่” และให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างสมรรถนะที่เพียงพอ ความประหยัด การใช้งานที่ง่าย การดูแลรักษาที่ไม่จุกจิก และ “รถกระบะราคาไม่ตก” ในระยะยาว Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2L คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม
อย่าพลาดโอกาสสัมผัสประสบการณ์ขับขี่รถกระบะที่เข้าใจคนไทยอย่างแท้จริง! ขอเชิญท่านเยี่ยมชมโชว์รูมอีซูซุใกล้บ้านท่าน เพื่อทดลองขับและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการขายที่จะช่วยให้ท่านตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น.
![[ครบชุด] 3010094 แฟนแท้จริงหรือศัตรู หนังใหม่ล่าสุด](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-316-1.png)
![[ครบชุด] 3010095 ของเพื่อนก็เหมือนของตัวเอง อยากยืมก็มาเอา](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-317-1.png)