Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2025: กระบะคู่ใจในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง จากประสบการณ์ 10 ปีในวงการ
ตลาดรถกระบะในประเทศไทยปี 2025 ยังคงเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่ดุเดือดและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากประสบการณ์กว่าทศวรรษที่ผมได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงยานยนต์ ผมเห็นความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อนขึ้น ไม่ได้มองหากระบะเพื่อการบรรทุกเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความอเนกประสงค์สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน, ความประหยัด, เทคโนโลยีที่ทันสมัย และที่สำคัญคือความคุ้มค่าในระยะยาว ท่ามกลางกระแสรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังถาโถมเข้ามา ยานยนต์ดีเซลที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถกระบะที่ยังคงเป็นหัวใจของเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ของประเทศ และในบริบทนี้เอง Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE โดยเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรใหม่ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการปรับตัวและตอบโจทย์ได้อย่างน่าสนใจ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมได้มีโอกาสสัมผัสและทดสอบ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE รุ่นเครื่องยนต์ 2.2 MAXFORCE E-VGS มาอย่างละเอียด ทั้งในสภาพการใช้งานจริง ระยะทางร่วมสองหมื่นกิโลเมตร ซึ่งถือเป็นการทดสอบที่ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การขับขี่ในเมืองที่การจราจรหนาแน่น ไปจนถึงการเดินทางไกลข้ามจังหวัด การบรรทุกสัมภาระ และการขับขี่บนเส้นทางที่ท้าทาย บทความนี้จะเจาะลึกทุกมิติของกระบะรุ่นนี้ โดยอ้างอิงข้อมูลล่าสุดของปี 2025 เพื่อให้ผู้ที่กำลังมองหารถกระบะคู่ใจได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์มากที่สุด
ตลาดรถกระบะ 2025: ความท้าทายและโอกาสสำหรับ Isuzu D-Max
ปี 2025 ตลาดรถกระบะไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นการปรับตัวภายใต้ปัจจัยที่หลากหลาย ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ต้นทุนพลังงานที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ และที่ไม่อาจมองข้ามได้คือการเข้ามาของรถกระบะไฟฟ้า (Electric Pickup Truck) ที่เริ่มมีบทบาทในบางเซ็กเมนต์ สิ่งเหล่านี้ผลักดันให้ผู้ผลิตต้องพัฒนารถกระบะดีเซลให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ทั้งในด้านประสิทธิภาพเครื่องยนต์, ความประหยัดน้ำมัน, เทคโนโลยีความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการขับขี่ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2 ลิตร จึงถูกวางตำแหน่งให้เป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่ง ด้วยจุดเด่นที่เน้นความสมดุลระหว่างพละกำลัง ความประหยัด และความทนทาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอีซูซุที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนาน
ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้เพียงต้องการรถที่สามารถทำงานได้หนัก แต่ยังต้องการรถที่สามารถใช้งานได้หลากหลายเสมือนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ความคล่องตัวในเมือง, ห้องโดยสารที่กว้างขวางและสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสาร, ระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัย และเทคโนโลยีความบันเทิงที่เชื่อมต่อได้ คือสิ่งที่กระบะยุคใหม่ต้องมี Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE รุ่นนี้ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้นได้อย่างไร มาดูกันครับ
Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2 ZP 8AT: รายละเอียดที่สำคัญ
สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ เราจะเน้นไปที่รุ่นยอดนิยมอย่าง Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 2.2 ZP 8AT ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 1,064,000 บาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจเมื่อพิจารณาถึงออปชั่นและเทคโนโลยีที่ได้รับ มาดูรายละเอียดเชิงลึกกันครับ
มิติตัวถัง:
ยาว: 5,265 มิลลิเมตร
กว้าง: 1,870 มิลลิเมตร
สูง: 1,790 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ (Wheelbase): 3,125 มิลลิเมตร
ระยะต่ำสุดถึงพื้น (Ground Clearance): 240 มิลลิเมตร
มิติตัวถังเหล่านี้สะท้อนถึงความสมดุลที่อีซูซุตั้งใจมอบให้ ตัวรถที่มีความยาวและความกว้างที่เหมาะสม ไม่ได้ใหญ่จนเกินไปสำหรับการขับขี่ในเมืองที่ต้องการความคล่องตัว แต่ก็มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง รองรับผู้โดยสารได้สบายถึง 4 คนตามชื่อ CAB4 (Cabin 4 Doors) สำหรับครอบครัวขนาดเล็กหรือการใช้งานที่ต้องขนส่งคนร่วมกับสัมภาระก็ทำได้อย่างไม่มีปัญหา ระยะฐานล้อที่ยาวช่วยให้การทรงตัวดีเยี่ยมเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงบนทางหลวง ส่วนระยะต่ำสุดถึงพื้น 240 มิลลิเมตรนั้น เป็นตัวเลขที่บอกได้ว่า Isuzu D-Max Hi-Lander รุ่นนี้พร้อมลุยกับสภาพถนนที่หลากหลายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นหลุมบ่อ ทางลูกรัง หรือน้ำท่วมขังเล็กน้อย ก็สามารถผ่านไปได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ลดทอนความสะดวกสบายในการเข้าออกห้องโดยสารมากนัก
หัวใจแห่งพละกำลัง: เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 MAXFORCE E-VGS
หนึ่งในไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE คือเครื่องยนต์ดีเซลรหัส RZ4F-TC ขนาด 2.2 ลิตร (2,164 ซีซี) 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว DOHC Commonrail Direct Injection พร้อมเทอร์โบแปรผันแบบครีบ (E-VGS) และ Intercooler ที่ทำงานร่วมกับ Electronic Wastegates ให้พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดถึง 400 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำตั้งแต่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที ซึ่งเป็นช่วงรอบการใช้งานจริงที่สำคัญ
จากประสบการณ์ของผม เครื่องยนต์ 2.2 MAXFORCE นี้ถือเป็นการก้าวกระโดดที่สำคัญของอีซูซุ หากเทียบกับเครื่องยนต์ 1.9 ลิตร Blue Power ที่เน้นความประหยัดเป็นหลัก หรือเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรที่เน้นกำลังสูงสุด การวางตำแหน่งของ 2.2 ลิตร MAXFORCE อยู่ตรงกลางที่สมบูรณ์แบบ มันมอบอัตราเร่งที่ “ทันใจ” อย่างเห็นได้ชัด แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่มาในรอบต่ำทำให้รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่พร้อมให้ใช้งานทันทีที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง การเร่งแซงรถบรรทุกบนทางหลวง หรือแม้กระทั่งการบรรทุกน้ำหนัก เครื่องยนต์นี้ก็สามารถตอบสนองได้อย่างน่าประทับใจ การเร่งแซงทำได้อย่างสบายและปลอดภัยมากขึ้นในทุกสถานการณ์
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Sequential Shift พร้อม Manual Mode (+/-) ที่จับคู่มากับเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสมรรถนะการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น การเปลี่ยนเกียร์ทำได้อย่างนุ่มนวลและต่อเนื่อง ทำให้การขับขี่ในเมืองที่ต้องมีการเร่งและชะลอตัวบ่อยครั้งเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีการกระตุกกระชากที่รบกวนความรู้สึก ในขณะที่การขับขี่ทางไกลที่ความเร็วสูง เกียร์ 8 จังหวะช่วยให้รอบเครื่องยนต์ต่ำลง ส่งผลโดยตรงต่อการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร ทำให้การเดินทางไกลเป็นไปอย่างผ่อนคลาย
แม้จะมีบางจังหวะที่ผมสัมผัสได้ถึงอาการกระตุกเล็กน้อยในการเปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วต่ำมากในเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจพบได้ในระบบเกียร์อัตโนมัติหลายๆ รุ่น แต่โดยรวมแล้วถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้และไม่ได้รบกวนการขับขี่โดยรวมแต่อย่างใด เครื่องยนต์ยังรองรับน้ำมันดีเซล B20 ซึ่งเป็นทางเลือกที่ช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ในระยะยาว และมาพร้อมกับระบบ DPF (Diesel Particulate Filter) Regeneration ที่ช่วยในการทำความสะอาดคราบเขม่า ลดมลพิษ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างสะอาดและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดรับกับเทรนด์ความยั่งยืนของปี 2025
สมรรถนะการขับขี่: นุ่มนวล ทรงตัวดี และประหยัด
การทดสอบจริงตลอดระยะเกือบสองหมื่นกิโลเมตร ทำให้ผมได้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แท้จริงของ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 2.2 ในการใช้งานในชีวิตประจำวันและในการเดินทางไกล
อัตราเร่งและการตอบสนอง: อย่างที่กล่าวไปข้างต้น อัตราเร่งของเครื่องยนต์ 2.2 ลิตรนี้ดีกว่า 1.9 ลิตรอย่างเห็นได้ชัด การกดคันเร่งเพื่อเร่งแซงทำได้อย่างมั่นใจและ “ทันใจ” ไม่ต้องลุ้น ไม่ว่าจะบนถนนสองเลนหรือทางด่วนที่มีการจราจรหนาแน่น ตัวรถก็สามารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ความสามารถในการตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้าก็ทำได้ดี ไม่มีอาการหน่วงจนน่ารำคาญ ทำให้การควบคุมรถเป็นไปตามความตั้งใจของผู้ขับขี่
ช่วงล่างและความนุ่มนวล: เรื่องช่วงล่างของอีซูซุ มักเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงเสมอในตลาดกระบะ จากประสบการณ์ 10 ปี ผมกล้าพูดว่าช่วงล่างของอีซูซุถูกออกแบบมาเพื่อเน้นความนุ่มนวลและความสบายในการขับขี่ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ทำให้ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการรถกระบะที่ไม่กระด้าง สำหรับการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ตัวรถอาจจะออกแนวเด้งเล็กน้อยตามสไตล์รถกระบะเน้นความนุ่ม แต่ก็ไม่ได้รบกวนจนเกินไป กลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายเมื่อต้องขับขี่ในสภาพถนนที่ไม่เรียบ
อย่างไรก็ตาม สำหรับการขับขี่ที่ความเร็วสูงมากๆ (เกิน 120-130 กม./ชม.) บางท่านอาจจะรู้สึกว่าตัวรถมีอาการ “ลอยๆ” เล็กน้อย ซึ่งเป็นธรรมชาติของช่วงล่างที่เน้นความนุ่มและระยะฐานล้อที่ค่อนข้างยาว ผู้ขับขี่จึงควรใช้ความระมัดระวังและควบคุมพวงมาลัยให้ดี แต่ถ้าคุณเป็นผู้ขับขี่รถกระบะมาโดยตลอดและคุ้นเคยกับลักษณะนี้ คุณจะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ “รับได้” และเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การขับขี่กระบะ
แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามและเป็น “จุดแข็ง” ที่แท้จริงของอีซูซุคือ ค่าบำรุงรักษาที่ต่ำและราคาอะไหล่ที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วนช่วงล่าง อาทิ โช้คอัพทั้ง 4 ต้น ที่มีราคาไม่เกิน 5,000 บาท (ไม่รวมค่าแรง) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด สิ่งนี้ช่วยให้เจ้าของรถไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษามากเกินไปในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Isuzu D-Max มี Total Cost of Ownership (TCO) ที่น่าสนใจ และเป็นที่ต้องการในตลาดรถกระบะมือสอง ทำให้มี ราคาขายต่อที่แข็งแกร่ง อีกด้วยครับ
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน: การขับขี่จริงตลอดการทดสอบ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 2.2 สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยได้ถึง 14.4 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยมสำหรับรถกระบะในกลุ่มนี้ หากพิจารณาถึงพละกำลังที่ได้รับ สิ่งนี้ตอกย้ำว่าเครื่องยนต์ 2.2 MAXFORCE ไม่ได้มีดีแค่แรง แต่ยังคงไว้ซึ่งความประหยัดตามแบบฉบับของอีซูซุ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งในตลาดปี 2025 ที่ต้นทุนพลังงานยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อรถ
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ ADAS: ความปลอดภัยที่ต้องทำความเข้าใจ
ในยุค 2025 เทคโนโลยีความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง (ADAS – Advanced Driver Assistance Systems) กลายเป็นมาตรฐานที่ผู้บริโภคคาดหวัง Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE มาพร้อมกับนวัตกรรมกล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่สำหรับอีซูซุที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ระบบที่โดดเด่นคือ ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning) พร้อมระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Autobrake) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ แต่จากการใช้งานจริง ผมพบว่าในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพการจราจรที่หนาแน่นและไม่สามารถคาดเดาได้ในประเทศไทย เช่น มีรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์คันอื่นตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด ระบบอาจมีการเบรกเองอย่างรุนแรง ทั้งที่เรายังคงควบคุมรถอยู่และสถานการณ์ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นต้องเบรกเต็มที่ ซึ่งอาจทำให้รถคันหลังชนท้ายได้
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเข้าใจดีว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยสูงสุด แต่การตั้งค่า (Calibration) ของระบบ ADAS ควรได้รับการปรับให้เข้ากับพฤติกรรมการขับขี่และสภาพการจราจรของแต่ละภูมิภาค การปรับจูนที่เหมาะสมจะช่วยลด False Positive หรือการแจ้งเตือนและการทำงานที่ไม่จำเป็น ทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจในการใช้งานมากขึ้น สำหรับผู้ใช้งานบางท่าน อาจเลือกที่จะปิดระบบบางส่วนชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในสภาพจราจรที่ซับซ้อน แต่โดยรวมแล้ว ระบบ ADAS ของอีซูซุกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดี และเชื่อมั่นว่าในอนาคตจะมีการปรับจูนให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยมากยิ่งขึ้นครับ
นอกเหนือจาก ADAS แล้ว Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 ยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยพื้นฐานที่ครบครัน เช่น ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System), EBD (Electronic Brake-force Distribution), BA (Brake Assist), ระบบควบคุมการทรงตัว ESC (Electronic Stability Control), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction Control System) และถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในทุกการเดินทาง
ความคุ้มค่าและบทสรุปจากประสบการณ์ 10 ปี
ถ้าคุณกำลังมองหารถกระบะที่เน้นการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ใช้งานเพื่อธุรกิจ หรือเป็นรถกระบะคู่ใจของครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับความทนทาน, ความประหยัดน้ำมัน, ค่าบำรุงรักษาที่สมเหตุสมผล และมีราคาขายต่อที่ดีเยี่ยมในตลาด Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE รุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ถือเป็นตัวเลือกที่ “ตอบโจทย์” ได้อย่างโดดเด่นในตลาดปี 2025
เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 MAXFORCE E-VGS ที่มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ มอบสมรรถนะที่สมบูรณ์แบบ ทั้งอัตราเร่งที่ทันใจสำหรับการขับขี่ในทุกสถานการณ์ และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่น่าประทับใจ การผสมผสานนี้ทำให้ Isuzu D-Max เป็นรถกระบะที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งการบรรทุกของหนักในเชิงพาณิชย์ หรือการเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัว
แม้จะมีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับระบบ ADAS ที่ต้องทำความเข้าใจและปรับตัวในการใช้งานตามสภาพจราจรไทย และช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวลอาจไม่ถูกใจผู้ที่ชอบความหนึบแน่นสไตล์สปอร์ต แต่จุดแข็งเรื่องความทนทาน, ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่ต่ำ และราคาขายต่อที่มั่นคง คือปัจจัยที่ทำให้ Isuzu D-Max ยังคงเป็น “King of Pickups” ที่ได้รับความไว้วางใจมาโดยตลอด และยังคงยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในตลาดกระบะที่มีการแข่งขันสูงของปี 2025
อนาคตของการขับขี่กระบะที่ใช่ เริ่มต้นที่ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2
จากประสบการณ์กว่าทศวรรษ ผมกล้ายืนยันว่า Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2 เป็นรถกระบะที่ถูกพัฒนามาอย่างชาญฉลาด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งานในยุคปัจจุบัน หากคุณกำลังพิจารณารถกระบะที่สามารถเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานที่ซื่อสัตย์ และพาหนะคู่ใจของครอบครัว พร้อมมอบความคุ้มค่าในทุกมิติ ทั้งราคาซื้อ อัตราประหยัดน้ำมัน และค่าบำรุงรักษาที่ต่ำ Isuzu D-Max คันนี้คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม
อย่ารอช้าที่จะสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ด้วยตัวคุณเอง เพื่อให้เห็นถึงสมรรถนะและเทคโนโลยีที่ Isuzu D-Max Hi-Lander CAB4 MAXFORCE 2.2 พร้อมมอบให้ในทุกการเดินทาง เชิญคุณไปทดลองขับและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ที่โชว์รูมอีซูซุใกล้บ้านคุณวันนี้ เพื่อค้นพบว่าทำไมกระบะคันนี้ถึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับชีวิตของคุณในปี 2025 และอีกหลายปีข้างหน้า
![[ครบชุด] 3010194 ส่งต่อความดี](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-458-1.png)
![[ครบชุด] 1010259 ท้องแก่จนจคลอดแล้ว แต่หัวหน้าห้ามลา หลง รักแฟนเพจ](https://filmthailan.nataviguides.com/wp-content/uploads/2025/10/image-459-1.png)