[ครบชุด] XU11143 ลมหายใจ ที่หาซื้อไม่ได้!

BYD SHARK: มิติใหม่แห่งกระบะ PHEV สำหรับตลาดไทยปี 2025

ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการยานยนต์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระแสรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle – NEV) ที่พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว หนึ่งในปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองที่สุดคือการรุกคืบของแบรนด์ BYD ที่ไม่เพียงแค่สร้างยอดขายอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย แต่ยังคงเดินหน้าปฏิวัติวงการยานยนต์อย่างไม่หยุดยั้ง และในปี 2025 นี้เอง เรากำลังจะได้เห็นการมาถึงของมิติใหม่ในเซกเมนต์รถกระบะที่เคยถูกจำกัดอยู่แค่เครื่องยนต์สันดาปภายใน นั่นคือ BYD SHARK รถกระบะ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) พวงมาลัยขวา ที่พร้อมแล้วสำหรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่ได้สร้างความตื่นตะลึงและเสียงฮือฮาจากการปรากฏตัวครั้งแรกในโลกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน และการจัดแสดงในออสเตรเลีย รวมถึงการทดสอบสมรรถนะครั้งสำคัญ ณ สนามแข่งพีระเซอร์กิต พัทยา

การถือกำเนิดของ BYD SHARK: จุดเปลี่ยนแห่งเซกเมนต์กระบะ

BYD SHARK ไม่ใช่แค่รถกระบะทั่วไป แต่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงยุคใหม่ของ “รถกระบะอเนกประสงค์พลังงานทางเลือก” ที่จะเข้ามาพลิกโฉมการใช้งานและประสบการณ์การขับขี่ในตลาดรถกระบะไทย จากความสำเร็จอย่างล้นหลามของ BYD ในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ความคาดหวังที่มีต่อ SHARK จึงสูงลิบลิ่ว เพราะนี่คือการนำเทคโนโลยี Plug-in Hybrid อันก้าวล้ำของค่ายมาสู่รถกระบะ ซึ่งเป็นรถประเภทที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย ด้วยความโดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะ, ความประหยัด และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ได้อย่างลงตัว

สิ่งที่ทำให้ BYD SHARK โดดเด่นกว่าคู่แข่งในปัจจุบันคือการเป็นกระบะ PHEV รุ่นแรกที่ใช้ขุมพลัง DM-O (Dual Mode Off-road) ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อนไฮบริดที่ถูกออกแบบมาเพื่อสมรรถนะและการลุยโดยเฉพาะ ผนวกกับขนาดตัวถังที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม Compact Pick-up มิติตัวถังที่น่าประทับใจนี้บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของ BYD ที่จะมอบทั้งพื้นที่ใช้สอยและความแข็งแกร่งให้กับผู้ใช้งาน

มิติตัวถัง BYD SHARK (โดยประมาณ):
ยาว: 5,457 มิลลิเมตร
กว้าง: 1,971 มิลลิเมตร
สูง: 1,925 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ: 3,260 มิลลิเมตร
ระยะต่ำสุดถึงพื้น (Ground Clearance): 200 มิลลิเมตร
ความสามารถในการลุยน้ำสูงสุด: 700 มิลลิเมตร
กระบะท้าย ขนาดความจุ: 1,200 ลิตร
รองรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด: 790 กิโลกรัม
รองรับน้ำหนักการลากจูง: 2,500 กิโลกรัม
มุมไต่ (Approach Angle): 31 องศา

มิติเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของ SHARK ที่จะตอบโจทย์ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวัน การเดินทางไกล หรือแม้แต่กิจกรรมสันทนาการที่ต้องการสมรรถนะการลุย ด้วยขนาดที่ใหญ่โตกว่ากระบะ Compact Pick-up ทั่วไป แต่ยังคงความคล่องตัวที่พอเหมาะ ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาด “รถกระบะไฮบริด” ในประเทศไทย

หัวใจแห่งพลัง: ขุมพลัง DM-O Plug-in Hybrid ที่เหนือกว่า

BYD SHARK ขับเคลื่อนด้วยระบบ DM-O Plug-in Hybrid ที่รวมเอาเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า EHS (Electric Hybrid System) ผนึกกำลังกันมอบพละกำลังรวมสูงสุดถึง 436 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดมหาศาล 650 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่เหนือกว่ากระบะเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่หลายรุ่นในตลาดปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด กำลังที่เหลือเฟือนี้ส่งผ่านไปยังล้อทั้งสี่ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive พร้อมระบบกระจายแรงบิดอัจฉริยะ ทำให้ BYD SHARK มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 5.7 วินาที ซึ่งเป็นสมรรถนะที่น่าทึ่งสำหรับรถกระบะ

แบตเตอรี่ Blade Battery ความจุ 29.5 kWh คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ SHARK สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 100 กม. (ตามมาตรฐาน NEDC) ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางในแต่ละวันได้อย่างมหาศาล และเมื่อผสานการทำงานกับเครื่องยนต์เบนซิน SHARK สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 840 กม. เลยทีเดียว (น้ำมัน+ไฟฟ้า) ตอบโจทย์การเดินทางระยะไกลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จมากนัก นอกจากนี้ เทคโนโลยีการชาร์จเร็ว DC Fast Charge ที่สามารถชาร์จจาก 30-80% ได้ภายใน 25 นาที ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานอีกด้วย

หนึ่งในคุณสมบัติที่น่าสนใจและสร้างความแตกต่างให้กับ BYD SHARK คือระบบ V2L (Vehicle to Load) ที่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า 220V ออกสู่อุปกรณ์ภายนอกได้สูงสุดถึง 6,000 วัตต์ (6 kW) ซึ่งเป็นกำลังไฟที่สูงที่สุดในตลาดรถกระบะปัจจุบัน ฟังก์ชันนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ gimmick แต่คือ Game Changer สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง แคมป์ปิ้ง หรือผู้ที่ต้องทำงานในพื้นที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายไฟให้เตาไฟฟ้า ตู้เย็นสนาม หรือเครื่องมือช่างขนาดใหญ่ SHARK ก็สามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานเคลื่อนที่ได้อย่างยอดเยี่ยม

ช่วงล่างที่เหนือความคาดหมาย: ความนุ่มนวลและเกาะถนนแบบรถ SUV หรู

จากการทดสอบขับในสนามแข่งพีระเซอร์กิต สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับผู้เชี่ยวชาญหลายท่านคือ “ช่วงล่าง” ของ BYD SHARK หากพูดถึงรถกระบะ หลายคนอาจจะนึกถึงความกระด้างจากช่วงล่างแหนบที่เน้นการบรรทุกหนัก แต่ SHARK มาพร้อมกับช่วงล่างด้านหน้าแบบ McPherson Strut และด้านหลังแบบอิสระ Double Wishbone ซึ่งโดยทั่วไปจะพบเห็นในรถยนต์นั่งหรือ SUV หรูที่มีราคาสูงกว่า

การเลือกใช้ช่วงล่างอิสระ Double Wishbone ในกระบะ PHEV นี้ ถือเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญและชาญฉลาดของ BYD ที่ยอมแลกกับความสามารถในการบรรทุกสูงสุดที่อาจจะน้อยกว่ากระบะแหนบทั่วไป (รองรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 790 กิโลกรัม) เพื่อมอบ “ความนุ่มนวลและการเกาะถนน” ที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงบนสนามแข่ง SHARK ให้ความรู้สึกมั่นคง เกาะถนนได้อย่างยอดเยี่ยม และลดอาการโคลงเคลงได้ดีเยี่ยมจนน่าตกใจ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขับขี่รถยนต์ SUV พรีเมียมขนาดใหญ่ มากกว่าจะเป็นรถกระบะ สิ่งนี้จะตอบโจทย์สภาพถนนในประเทศไทยที่มีความหลากหลายได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นถนนในเมืองที่ขรุขระ หรือการเดินทางระยะไกลที่ต้องการความสบายสูงสุด

ระบบเบรกดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ พร้อมครีบระบายความร้อน ทำงานร่วมกับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และยางขนาด 265/65 R18 ช่วยให้มั่นใจในประสิทธิภาพการหยุดรถและความปลอดภัย

การออกแบบที่สะท้อนความแข็งแกร่งและความล้ำสมัย

ภายนอก: BYD SHARK ถ่ายทอดความแข็งแกร่งและดุดันผ่านการออกแบบที่เน้นเส้นสายที่คมชัดและบึกบึน ไฟหน้าแบบ LED พร้อมฟังก์ชัน Follow-me-home และไฟ Daytime Running Light แบบ LED เสริมสร้างความทันสมัยและทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม ไฟท้าย LED และไฟเลี้ยวแบบ Sequential ด้านหลัง เพิ่มความหรูหราและโดดเด่นไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ ยังมีไฟส่องสว่างบริเวณกระบะท้าย 3 ตำแหน่ง เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานในที่มืด ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกองค์ประกอบของ BYD

ภายใน: ภายในห้องโดยสารของ BYD SHARK ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับ ผสมผสานความหรูหรา ฟังก์ชันการใช้งาน และเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว มาตรวัด Full Digital ขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจอกลาง Touchscreen ขนาด 15.6 นิ้ว ที่สามารถหมุนปรับแนวตั้ง-แนวนอนได้ เป็นเอกลักษณ์ของ BYD ที่สร้างความประทับใจเสมอมา ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงข้อมูลและระบบความบันเทิงได้อย่างง่ายดาย

เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีดำแบบเจาะรู Perforated เดินตะเข็บด้ายสีส้ม เพิ่มความสปอร์ตและระบายอากาศได้ดี เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบพนักพิงดันหลังไฟฟ้า Lumbar Support 4 ทิศทาง ให้ความสบายสูงสุดในการเดินทาง ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าก็ปรับด้วยไฟฟ้าเช่นกัน เบาะนั่งด้านหลังสามารถพับพนักพิงลงได้เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ กระจกหน้าต่างคู่หน้าแบบลดเสียงรบกวน Acoustic Glass และกระจกหน้าต่างคู่หลังแบบ Privacy Glass ช่วยเพิ่มความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวภายในห้องโดยสาร ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ตอกย้ำความหรูหราและใส่ใจในทุกตำแหน่งที่นั่ง

ระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีช่วยขับขี่ที่ครบครัน

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอย้ำว่า “ความปลอดภัย” คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกซื้อรถยนต์ และ BYD SHARK ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยการอัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูงและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) ที่เทียบเท่ารถยนต์ระดับพรีเมียม ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (คู่หน้า, ด้านข้าง, ม่านนิรภัย, และระหว่างเบาะนั่งคู่หน้า) มอบการปกป้องรอบด้าน กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา และเซนเซอร์กะระยะช่วยจอด (หน้า 2 ตำแหน่ง / หลัง 4 ตำแหน่ง) ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่และจอดรถ

นอกจากนี้ SHARK ยังมาพร้อมกับแพ็กเกจ ADAS ที่ครอบคลุม:

ระบบเบรก ABS / EBD / BA
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESC / ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS
ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA / ระบบช่วยลงทางลาดชัน HDC
ระบบเบรกอัตโนมัติ AEB
ระบบเตือนการชนด้านหน้า FCW / ระบบแจ้งเตือนคาดการณ์การชนล่วงหน้า PCW
ระบบช่วยเตือนการชนด้านท้าย RCW
ระบบจดจำป้ายจราจร TSR
ระบบเตือนเปลี่ยนเลน LDW / ระบบป้องกันรถออกนอกเลน LDP / ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร LKA
ระบบแจ้งเตือนจำกัดความเร็วอัจฉริยะ ISLC
ระบบเตือนเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA / ระบบเบรกอัตโนมัติเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTB
ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา BSD
ระบบช่วยเตือนเมื่อเปิดประตูรถ DOW
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control with Stop & Go
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ HMA
ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้า DAW

ชุดระบบความปลอดภัยและช่วยขับขี่เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยให้การขับขี่ในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องง่ายและผ่อนคลายยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ BYD ในการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยและชาญฉลาด

บทสรุปและอนาคตของ BYD SHARK ในตลาดไทยปี 2025

BYD SHARK คือกระบะ PHEV ที่เข้ามาเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของตลาดรถกระบะอย่างแท้จริง ด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นจากขุมพลัง DM-O Plug-in Hybrid กำลังสูงสุด 436 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที การวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน 100 กม. และวิ่งรวมสูงสุด 840 กม. พร้อมฟังก์ชัน V2L 6 kW ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทำให้ SHARK สามารถต่อกรกับผู้นำตลาดเดิมได้อย่างแน่นอน

จุดเด่นสำคัญที่ทำให้ BYD SHARK น่าสนใจอย่างยิ่งคือ “ช่วงล่างอิสระ Double Wishbone” ที่มอบความนุ่มนวลและเสถียรภาพการขับขี่ในระดับที่กระบะทั่วไปให้ไม่ได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ผู้ใช้รถกระบะหลายคนโหยหามานาน อย่างไรก็ตาม ในบริบทของตลาดประเทศไทยที่กฎหมายภาษีสรรพสามิตสำหรับรถกระบะยังคงเอื้อประโยชน์ให้กับช่วงล่างแหนบเพื่อการบรรทุก การที่ BYD จะผลิต SHARK ที่โรงงานจังหวัดระยองเพื่อวางจำหน่ายในไทย อาจจะต้องพิจารณาการปรับเปลี่ยนช่วงล่างด้านหลังเป็นแหนบ เพื่อให้สามารถกำหนดราคาที่แข่งขันได้ดีขึ้น และตอบโจทย์ด้านการบรรทุกหนักของผู้ใช้งานในบางกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามตลาดรถยนต์อย่างใกล้ชิด ผมมองว่า BYD SHARK มีศักยภาพที่จะสร้างความปั่นป่วน (disruption) ให้กับเซกเมนต์รถกระบะได้อย่างมหาศาล ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นรถกระบะ Plug-in Hybrid แต่เพราะมันคือการผสมผสานระหว่างสมรรถนะ, ความประหยัด, เทคโนโลยีล้ำสมัย, ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ มันเป็นมากกว่าแค่รถกระบะ แต่เป็น “รถยนต์พลังงานใหม่แห่งการใช้งานอเนกประสงค์” ที่พร้อมตอบรับทุกความต้องการของชีวิตยุคใหม่

เราคงต้องมาลุ้นกันในช่วงปลายปี 2025 นี้ว่า BYD SHARK เวอร์ชั่นที่จะผลิตในประเทศไทยและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการนั้นจะมีรายละเอียด สเปก และราคาที่น่าสนใจเพียงใด แต่ที่แน่ๆ คือนี่คือรถยนต์ที่กำลังจะเข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดกระบะไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

อย่าพลาดโอกาสในการเป็นเจ้าของนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต! ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับ BYD SHARK และเตรียมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใครได้ที่เว็บไซต์และโชว์รูม BYD ทั่วประเทศ เมื่อมีการประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2025 นี้!