บทวิจารณ์ภาพยนตร์ที่จะเกิดขึ้น
ประกันรถยนต์ระบุชื่อ vs ไม่ระบุชื่อ: เลือกแบบไหนถึงจะคุ้มค่ากับเบี้ยประกัน?
by admin

การตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อความคุ้มครองและค่าใช้จ่ายระยะยาว หลายคนอาจเคยเห็นตัวเลือกอย่าง “ประกันระบุผู้ขับขี่” และ “ประกันไม่ระบุผู้ขับขี่” แล้วสงสัยว่าสองแบบนี้แตกต่างกันอย่างไร? แบบไหนจะเหมาะกับไลฟ์สไตล์และการใช้งานรถของคุณมากกว่า เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและได้รับเบี้ยประกันรถยนต์ที่คุ้มค่าที่สุด เราจะมาเจาะลึกเปรียบเทียบความแตกต่างของประกันทั้งสองรูปแบบนี้กัน
ภาพประกอบเปรียบเทียบประกันรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่และไม่ระบุผู้ขับขี่ แสดงความแตกต่างด้านความคุ้มครองและเบี้ยประกัน
ทำความเข้าใจความแตกต่าง: ประกันระบุผู้ขับขี่ คืออะไร?
ประกันรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่ หมายถึง การทำประกันโดยที่คุณต้องระบุชื่อบุคคลที่จะเป็นผู้ขับขี่รถคันที่เอาประกันลงในกรมธรรม์อย่างชัดเจน โดยทั่วไปแล้ว บริษัทประกันภัยมักจะอนุญาตให้ระบุชื่อผู้ขับขี่ได้ 1-2 คน (บางกรมธรรม์อาจระบุได้ถึง 5 คน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัท) ข้อดีหลักของการทำประกันแบบนี้คือ “เบี้ยประกันรถยนต์จะถูกลง” อย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับแผนที่ไม่ระบุชื่อ เนื่องจากบริษัทประเมินความเสี่ยงได้เฉพาะเจาะจงจากข้อมูลประวัติการขับขี่และอายุของผู้ที่ถูกระบุไว้ อย่างไรก็ตาม ความคุ้มครองจะเกิดขึ้นเต็มที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุและผู้ขับขี่ในขณะนั้นคือคนที่มีชื่อระบุอยู่ในกรมธรรม์เท่านั้น ประกันประเภทนี้จึงเหมาะสำหรับรถที่ใช้งานโดยผู้ขับขี่ประจำเพียงคนเดียว หรือสมาชิกในครอบครัวจำนวนน้อยที่แน่นอน
ประกันรถยนต์ไม่ระบุผู้ขับขี่: ทางเลือกที่ยืดหยุ่นกว่า?
ในทางตรงกันข้าม ประกันรถยนต์แบบไม่ระบุผู้ขับขี่ คือการทำประกันโดยที่ไม่ได้มีการระบุชื่อผู้ขับขี่เฉพาะเจาะจงลงในกรมธรรม์ ทำให้รถคันเอาประกันสามารถขับขี่ได้โดยใครก็ได้ที่มีใบอนุญาตขับขี่ ข้อได้เปรียบที่ชัดเจนคือความยืดหยุ่น ไม่ต้องกังวลว่าคนที่ขับจะเป็นใคร หากมีการสลับกันใช้รถบ่อยๆ หรือมีคนอื่นยืมรถเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นนี้ก็มาพร้อมกับเบี้ยประกันรถยนต์ที่สูงกว่าแบบระบุผู้ขับขี่
ประกันไม่ระบุผู้ขับขี่อาจมีแผนย่อยๆ ให้เลือก เช่น แผนที่คุ้มครองผู้ขับขี่อายุ 25 ปีขึ้นไป หรือ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีเบี้ยประกันที่ถูกลงตามอายุที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้ขับขี่ที่มีอายุมากกว่ามักมีประสบการณ์และสถิติการเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่า หรือแผนที่คุ้มครองผู้ขับขี่ทุกช่วงอายุที่มีใบขับขี่ ซึ่งเป็นแผนที่มีเบี้ยประกันแพงที่สุดแต่ก็ครอบคลุมมากที่สุด แผนแบบไม่ระบุผู้ขับขี่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกหลายคนสลับกันใช้รถ หรือรถที่เจ้าของอนุญาตให้เพื่อนหรือคนรู้จักยืมใช้ได้บ่อยๆ
ภาพแสดงความยืดหยุ่นของประกันรถยนต์แบบไม่ระบุผู้ขับขี่ เหมาะสำหรับผู้ขับขี่หลายคนในครอบครัว
ถ้าคนขับไม่ใช่ชื่อที่ระบุไว้ แล้วเกิดอุบัติเหตุ จะเคลมประกันได้ไหม?
นี่เป็นคำถามที่หลายคนกังวล หากคุณทำประกันระบุผู้ขับขี่ไว้ แต่คนที่ขับรถในขณะที่เกิดอุบัติเหตุไม่ใช่คนที่ระบุชื่อ จะยังสามารถเคลมประกันได้หรือไม่? คำตอบคือ “ยังคงเคลมได้” แต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม:
- กรณีเป็นฝ่ายถูก: หากรถของคุณถูกชนและคุณเป็นฝ่ายถูก ไม่ว่าใครจะเป็นคนขับ คุณก็ยังคงได้รับการคุ้มครองจากประกันของคู่กรณีตามปกติ
- กรณีเป็นฝ่ายผิด: หากรถของคุณชนและเป็นฝ่ายผิด บริษัทประกันจะยังให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อคู่กรณีและทรัพย์สินของบุคคลภายนอกตามวงเงินในกรมธรรม์ รวมถึงความเสียหายต่อตัวรถของคุณ (หากเป็นประกันชั้น 1) แต่ผู้ขับขี่ที่ไม่ได้ระบุชื่อจะต้องจ่าย “ค่าเสียหายส่วนแรก” ตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งโดยทั่วไปคือ 2,000 บาทสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก และ 6,000 บาทสำหรับความเสียหายต่อตัวรถจากการชนแบบมีคู่กรณีที่ระบุตัวได้ (ค่าเสียหายส่วนแรก 6,000 บาทนี้จะไม่เรียกเก็บ หากอุบัติเหตุเกิดจากการชนที่ผู้ขับขี่ที่ระบุชื่อเป็นคนขับ) การจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกนี้คือค่าปรับที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ขับขี่ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
ดังนั้น ประกันระบุผู้ขับขี่จึงเหมาะกับคนที่มั่นใจจริงๆ ว่าคนขับรถจะเป็นคนที่ระบุชื่อไว้เป็นประจำเท่านั้น หากมีการสลับคนขับบ่อยและต้องการหลีกเลี่ยงค่าเสียหายส่วนแรก การทำประกันไม่ระบุผู้ขับขี่อาจเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า
การใช้งานรถที่แตกต่าง: รถส่วนบุคคล vs รถรับจ้าง
สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ ไม่ว่าคุณจะเลือกทำประกันรถยนต์แบบระบุผู้ขับขี่หรือไม่ระบุผู้ขับขี่ก็ตาม ประกันรถยนต์ส่วนบุคคลถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครองการใช้งานรถยนต์ในรูปแบบ “ส่วนบุคคล” เท่านั้น หากคุณนำรถยนต์ส่วนบุคคลที่ทำประกันไว้ ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น ขับรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน หรือรับส่งสินค้า ประกันจะไม่คุ้มครองในกรณีเกิดอุบัติเหตุขณะใช้งานในเชิงพาณิชย์นั้นๆ แม้ว่าจะเป็นแผนที่ไม่ระบุผู้ขับขี่ก็ตาม การใช้งานรถเพื่อการพาณิชย์ต้องทำประกันรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานประเภทนั้นโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสม [ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้รถส่วนบุคคลรับส่งผู้โดยสาร]
ประกันระบุ/ไม่ระบุชื่อ เลือกชั้นไหนได้บ้าง?
คุณสามารถเลือกแผนประกันแบบระบุผู้ขับขี่หรือไม่ระบุผู้ขับขี่ได้กับประกันรถยนต์แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมสูงสุด หรือประกันชั้น 2+, 2, 3+, และ 3 การเลือกชั้นประกันขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการความคุ้มครองของคุณเป็นหลัก สามารถเปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์แต่ละชั้น พร้อมทั้งเลือกแผนผู้ขับขี่ที่เหมาะกับคุณได้ทางออนไลน์